วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Gaggan ครัวอินเดีย @ หลังสวน เพลินจิต



 แม้ว่ากระแสอาหารแนวโมเลกุล หรือ Molecular Gastronomy เริ่มจางลงไปแล้วในอเมริกาและยุโรป ทว่าสำหรับ เชฟกากั้น (GagganAnand) เชฟหนุ่มชาวอินเดียจากกัลกัตตา กลับกำลังหลงใหล...แล้วแทรกกลิ่นอายอาหารแนวนี้เข้าไปในครัวอินเดียของเขา แต่ขอเรียกว่าเป็น Progressive Indian Cuisine ดีกว่า
 เชฟบอกว่า เพราะเขาเล่นสนุกกับอุปกรณ์และส่วนผสมที่เป็น "โมเลกุล่า" เข้าไปในอาหารเพียง 10% หากนำเสนอให้ตื่นตาประทับใจเท่านั้น แต่ความเป็นอาหารอินเดียผสมอิตาเลี่ยน ที่กินอิ่มเอาจริงยังคงอยู่ จากเหตุผลที่อยากเปลี่ยนแนวคิดของคนทั่วไปที่เมื่อคิดถึงอาหารอินเดียก็จะนึกถึงเครื่องเทศ แกงอินเดียกับนานหรือโรตี อีกทั้งความชอบส่วนตัวในอาหารแนวใหม่ เขาลงทุนไปขอร่ำเรียนหลักสูตรอาหารโมเลกุล่า จากเชฟ Ferran Adria ถึงบาร์เซโลนา เจ้าของร้าน El Bulli (ปัจจุบันเลิกไปแล้วเปิดเป็นสถาบันสอนอาหารแทน) แถมเชฟต้นตำรับ Molecular Cuisine ก็ใจดีสอนให้ไม่คิดตังค์ ซึ่งหลังจากเชฟกากั้นผ่านคอร์สระยะสั้นมาแล้ว เขาก็กลับมาชวนเพื่อนร่วมกันเปิดร้าน Gaggan ในเรือนไม้สีขาว จัดการปรับปรุงตกแต่งใหม่ ดูน่ารัก อบอุ่น สะอาดสบายตา แล้วนำตามความตั้งใจคือนำเสนออาหารอินเดียแนวใหม่ที่รับรองไม่เหมือนที่ไหน
 เช่น โยเกิร์ตผสมสมุนไพรในช้อน ให้หม่ำกันคนละ 2 ช้อน เรียกความสดชื่น รสชาติคล้ายแลซซี่ ซึ่งเป็นอาหารอินเดียอยู่แล้ว ตามด้วย ฟัวกราส์ กับอินเดียน เบอร์รี ชัตนี่ย์ซอส จัดจานสวยส่งประกวดได้เลย เมนูนี้ชื่อ The Goose is Not Cooked ใช้ฟัวกราส์ ออร์แกนิคจากฮังการี  ตามด้วย ไก่ทิกก้าซอสผักชี พริกไทยสด (300.-) ซอสทำเป็นโฟมห่อหุ้มเนื้อไก่ที่นุ่มหอมเครื่องเทศนิด ๆ จานต่อไปเป็น กุ้งแม่น้ำย่างกับพริกในเตาธันดูร์ (630.-) เห็นชัดเจนว่า อาหารเป็นเนื้อเป็นหนังสไตล์อินเดียนแท้ ลืมบอกว่า...เมนูของร้านพิมพ์ใส่กระดาษเป็นแผ่น เป็นเมนูชั่วคราวเพราะเชฟบอกว่า เขาสนุกกับการปรับเปลี่ยนเมนูตลอดเวลา และตั้งชื่ออย่างคนขี้เล่น แบ่งเป็น Chapter ต่าง ๆ ตั้งชื่อชวนสงสัย เช่น Chapter 2  เรียกว่า When India met Italy มีเมนูอย่างสปาเกตตีกับพาร์เมซานและใบผักชี (275.-) I'm loving Angels สปาเกตตีเส้นผมนางฟ้าผัดกับปู หรือริซอตโต ซีฟู้ด ตั้งชื่อว่า Catch of the Day บางทีก็ผสมริซอตโตกับข้าวบาสมาติ เป็นต้น
 หลังจากลิ้มลองครัวอินเดีย โปรเกรสซีฟ ไปบ้างแล้ว เชฟให้ลอง ริซอตโตเห็ด รสเด็ดมาก ทิ้งเครื่องเทศอินเดียไปเลย เชฟกากั้นบอกว่าใช้เห็ดมอเรลสดจากฝรั่งเศส แพงและหายาก แน่นอนว่าสูตรนี้อยู่ใน Chapter 2  ส่วนภาค 3 ได้แก่ A Twist of India ได้แก่เมนูประเภทมาซาล่า แต่ดัดแปลงนิดหน่อยเช่น แกงหอยลาย ที่เชฟปรุงมาให้อร่อยมาก ดั้งเดิมใส่เครื่องเทศอินเดียจากภาคใต้แต่ปรับรสชาติให้กินง่ายขึ้น เชฟบอกว่า ถ้าเป็นอาหารอินเดียเป็นผสมผสานความเป็นอินเดียใต้กับอาหารทะเลเข้าด้วยกัน หรือบางทีเขานำข้าวอินเดียบาสมาติมาใช้แต่ปรุงแบบอิตาลี หรือ Indian Mutton (ที่คนอินเดียหมายถึงเนื้อแพะ) ปรุงสไตล์ Slow Cooked หรือทำให้สุกอย่างช้า ๆ หรือ Sous Vide 24 ชม. เป็นเทคนิคการปรุงที่กำลังฮิต ทำให้อาหารค่อย ๆ สุกแต่เก็บความสดและรสชาติดั้งเดิมไว้ได้ จานนี้เสิร์ฟกับนาน แป้งอินเดียย่างในโอ่ง แล้วจะปฏิเสธว่าไม่ใช่อาหารอินเดีย ได้อย่างไร...
 เชฟชวนเข้าครัวไปดูอุปกรณ์การทำอาหารแนวโมเลกุล่า ที่ใส่ส่วนผสมบางอย่างเพื่อทำให้เกิดควัน โฟม เจล มูส เป็นเท็กซ์เจอร์ที่แปลกใหม่แต่คงรสชาติของอาหารไว้ กินได้ไม่เป็นอันตราย เช่น ไนโตรเจนเหลว ทำให้เกิดอุณหภูมิ ติดลบ 196 องศา ทำให้ส่วนผสมเย็นและแข็งทันที เอาไปทำขนมหน้าตาเหมือนป๊อปคอร์น แต่เคี้ยวแล้วกรุบ ๆ พร้อมละลายในปาก หรือทำเป็นเครื่องดื่มในแก้วแล้วเทน้ำมะม่วงเข้มข้นลงไป หรือ ไอศกรีมควันบุหรี่ ความจริงเป็นไอศกรีมวานิลลา กับผงป่น ๆ รสช็อกโกแลตและเครื่องเทศต่าง ๆ แต่เวลาเสิร์ฟจะพ่นควันบุหรี่เข้าไป พอเปิดฝาแก้วออก กลิ่นควันบุหรี่ลอยออกมา เชฟบอกว่าอยากให้การกินอาหารใน Gaggan เป็นเรื่องสนุกสบายใจ อย่าไปเคร่งเครียด และไม่ต้องเสแสร้ง เชฟย้ำว่า อย่างไรก็ดีอาหารของที่นี่คำนึงถึงรสชาติและคุณภาพ เทคนิคนั้นเป็นเพียงการนำเสนอและเสริมให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น ใครอยากจะกินอาหารเนื้อมูสหรือเยลลี่ โฟม ไปเสียทุกจานล่ะ...
 เชฟชวนให้มา Blind Tasting Menu คอร์สละ 1,600 บาท อาหาร 10 อย่าง เชฟจัดให้ หรืออาหารตามสั่ง (ตามเมนู 50 อย่าง ที่เปลี่ยนบ่อยให้ตื่นเต้น) มีไวน์ ค็อกเทลและม็อกเทล Gaggan อยู่ซอยหลังสวน เพลินจิต โทร.02-652-1700

บุตรดา บาร์ (BUDดา BAR) ลาดพร้าว ซอย 8



เวลาใครสักคนคิดอยากเปิดร้านอาหารของตัวเองต่อให้คำนึงถึงเรื่องธุรกิจแค่ไหนอย่างไรเสียก็ต้องเปิดร้านในแบบที่ตัวเองชอบด้วย บรรยากาศร้านจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนบุคลิกของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี การทำร้านตามใจตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายร้านถูกใจเราอาจไม่ถูกใจคนอื่นแต่มีหลายร้านที่ไม่เพียงตรงใจเจ้าของแต่ยังโดนใจคนอื่นอีกหลายคนเช่นที่ บุตรดา บาร์(BUDดา BAR)
 คุณ เปาว์ - ณัฐวร สระทองคำ เจ้าของร้านเป็นบุตรของคุณ 'ดา' ถึงเวลาเปิดร้านของตัวเองจึงตั้งชื่อร้านว่า 'บุตรดา บาร์' ซึ่งถึงวันนี้ร้านก้าวเข้าสู่ปีที่สิบและเพิ่งตกแต่งร้านใหม่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพราะมีหุ้นส่วนใหม่อย่างสมาชิกวงเพลย์กราวด์ สวีทมัลเล็ท และพะแพง อคาเดมี แฟนเทเชีย ฤดูกาลที่ 4 มาร่วมด้วย จากเดิมที่ร้านดูแน่นไปด้วยโต๊ะและของตกแต่งสารพัดอย่างมาวันนี้จัดโต๊ะให้โล่งขึ้นเอาของตกแต่งบางส่วนออกแต่ยังมีมุมสวยๆ ให้คนมาเที่ยวถ่ายรูปเล่นได้เช่นเคย ด้านนอกโปร่งสบายมีหลังคาสูงช่วยกันฝนด้านหน้าเวทีดนตรีมีบ่อปลาให้ความรู้สึกผ่อนคลาย โต๊ะพูลสักหลาดสีแดงสดตั้งโดดเด่นอยู่ตรงกลาง
 ภายในร้านแม้จะดูโล่งขึ้นแต่ยังเต็มไปด้วยของตกแต่งเก๋ๆ อาทิเช่น โคมไฟ โทรทัศน์เก่า หุ่นยอดมนุษย์ จักรยาน หมวกกันน็อค พัดลมโบราณ ลูกโลก ถังน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งคุณเปาว์บอกว่าเปาว์บอกว่าเป็นการตกแต่งแบบตามใจตัวเองชอบอะไรก็เอามาไว้ในร้านซึ่งตอนนี้ย้ายของออกไปบางส่วนเพื่อให้ร้านโล่งขึ้นแต่ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบแบบเดิมที่มีของมากกว่านี้เพราะถ่ายรูปสนุก
 รายการอาหารทุกเมนูคุณเปาว์เป็นคนคิดและคัดเลือกเองเช่นกัน ใครเบื่ออาหารที่จำเจมีเมนูแปลกใหม่ให้ลอง อาทิเช่น แกงส้มถั่วพูปลาหมึกทอด หนุมาน หอยสะดุ้ง เมนูที่ดูหน้าตาคุ้นเคยอย่าง ปลาวันทอง ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง หรือ ซุปเนื้อตุ๋น ก็ปรุงรสชาติตามสูตรของที่ร้านเอง บนโต๊ะมีรายการอาหารเมนู 'ชั่วครั้งชั่วคราว' เช่น โรตีแกงเขียวหวาน น้ำตกอกเป็ด สเต๊กกระทะร้อน ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีในบางวันซึ่งในเมนูบอกไว้อย่างอารมณ์ดีว่าถ้าไม่มีก็อย่าว่ากัน
 ดนตรีสดมีให้ฟังทุกวัน คืนวันศุกร์และวันเสาร์เพิ่มเวลาความสนุกให้เต็มที่ด้วยวงดนตรี 3 วง ก่อนหน้านี้ดนตรีในแต่ละวันจะแตกต่างกันชัดเจนด้วยแนวเพลงที่หลากหลาย ตอนนี้ทางร้านลองปรับใหม่เป็นเพลงยอดนิยมและเพลงฟังสบายๆ ให้ลูกค้าได้เปลี่ยนบรรยากาศดูว่าชอบแบบไหนมากกว่า ช่วงเทศกาลมีกิจกรรมสนุกๆ ตามเทศกาลและมีคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดังให้ชมอยู่เรื่อยๆ
 บุตรดา บาร์ อยู่ที่ลาดพร้าว ซอย 8 เปิดบริการ 18.00-01.00 น. โทรศัพท์ 02-513-0865 ชมภาพบรรยากาศเพิ่มเติมและติดตามกิจกรรมของร้านได้ที่ http://www.facebook.com/buddabarthailand

ดีไลท์ คิทเช่น @ มหาเศรษฐ์



ดีไลท์ คิทเช่น เปิดมานานสิบปีแล้วแต่ตั้งอยู่ริมถนนมหานครตัดใหม่ที่มีชื่อว่า มหาเศรษฐ์  ถ้าไม่คุ้นจะมาจากถนนเจริญกรุงก็สะดวก เลี้ยวเข้ามาในซอยเจริญกรุง 43 บริเวณกลางซอยจะเป็นที่จอดรถของร้านพอดี แล้วค่อยเดินออกมาทางด้ายท้ายซอยจะพบถนนมหาเศรษฐ์  ข้ามทางม้าลายจะพบ ดีไลท์ คิทเช่น ตั้งอยู่ในบ้านไม้สมัยโบราณอายุกว่า 80 ปี ท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่น
คุณสุรศักดิ์ ตัณฑ์พูนเกียรติผู้จัดการร้านบอกว่า เมนูอาหารหลักของร้านแบ่งเป็นอาหารเวียดนาม 30 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นอาหารทะเลปรุงสไตล์จีนที่เน้นวัตถุดิบที่สด ใหม่ เรียกว่าถ้าไม่ดีจริงไม่อนุญาตให้มาขึ้นโต๊ะแน่ๆ เมนูอาหารเวียดนามแม้จะไม่เยอะเท่าซีฟู้ดแต่ก็เรียกว่าไม่น้อยแถมยังคัดสรรวัตถุดิบ ส่วนประกอบมาจากอุดรธานีและหนองคายกันเลย ส่วนสูตรและวิธีปรุงเป็นแบบฉบับของเชฟประจำร้าน
มาเริ่มกันที่ยำหมูยอหนัง จานนี้เสิร์ฟมาคู่กับข้าวเกรียบงาแผ่นโต (180) พร้อมกับผักสดจัดมาให้หยิบง่ายเหมือนเป็นแจกัน ใครที่ชอบกินยำหมูยอหนังน่าจะถูกใจเพราะว่าได้เคี้ยวหมูยอแบบกรุบกรอบกับเครื่องยำ ตามด้วยข้าวเกรียบงากรอบๆอีก
แหนมเนือง (150 บาท) อาหารเวียดนามที่คุ้นเคยกันมาเวลาที่เสิร์ฟมาไม่รู้สึกถึงความเย้ายวนเท่าไหร่นัก แต่พอได้ลองลิ้มรสชาติแล้วแทบจะหยุดไม่อยู่เพราะไหนจะรสชาติของหมูย่างที่เป็นส่วนผสมพิเศษ ทั้งยังมีน้ำจิ้มรสเข้มข้นอีก เกินห้ามใจจริงๆ ส่วนที่มาแล้วสวยทั้งรูปอร่อยทั้งรสยกให้ขนมเบื้องญวน (160 บาท) ที่มาในขนาดใหญ่เต็มตา ใต้แผ่นแป้งบางกรอบซ่อนไว้ด้วยไส้ขนาดพอดี จานนี้ได้ใจเพราะเป็นอาหารโบราณที่หากินได้ยาก ได้กินแล้วก็ไม่ผิดหวัง
คราวนี้มาชิมอาหารจีนกันบ้าง เรียกน้ำย่อยซ้ำด้วยสลัดผลไม้ในรังเผือก (450 บาท)โดยทั่วไปจะเสิร์ฟมากับกุ้งทอด ของดีไลท์เป็นแฮ่กึ๊น เคี้ยวลงไปเป็นเนื้อกุ้งหนึบๆเต็มปากเต็มคำ รังเผือกก็กรุบกรอบ ส่วนผลไม้ที่คลุกสลัดครีมประกอบไปด้วย มะเขือเทศ องุ่น แคนตาลูป แอบเปิล รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆกินแล้วชื่นใจ
คราวนี้มาถึงเมนูไฮไลท์ กุ้งอบวุ้นเส้น (280 บาท) มาพร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้ง พนักงานเสิร์ฟจะมาช่วยทำให้อาหารจานนี้อร่อยยยิ่งขึ้นด้วยการ นำถุงเครื่องเทศออกจากหม้อดิน ตักกุ้งออกมาวางใส่จานแล้วคลุกเคล้าวุ้นเส้นให้เข้ากันกับเครื่องปรุงรสอยู่ก้นหม้อ จากนั้นก็บรรจงเรียงกุ้งกลับไปบนวุ้นเส้นให้สวยงาม ด้วยเหตุนี้วุ้นเส้นจึงดูดซึมเครื่องปรุงเอาไว้ให้รสพอดีแทบไม่ต้องเรียกหาน้ำจิ้มกันเลย
ตามมาด้วยปูทะเลผัดพริกไทยดำ (ก.ก.ละ1,300 บาท) เนื้อปูสดหวานเคล้ากับซอสพริกไทยดำที่เผ็ดร้อนชวนให้คิดถึงข้าวสวย ส่วนซุปร้อนๆรสชาติคล้ายๆต้มโคล้งแต่ใช้ปลาเก๋าและกุ้งมาลวกรับประทานในหม้อร้อนๆ ที่เรียกว่า กุ้งและปลาเก๋าเล่นน้ำ(1,000 บาท) น่าจะถูกใจสำหรับคอรสเผ็ดๆเปรี้ยวๆ แต่ถ้าอยากลองอาหารประเภทกระทะร้อน มีเนื้อนกกระจอกเทศผัดฉ่า(200 บาท) กับ สเต็กปลาหิมะ (680 บาท) เป็นอาหารแนะนำ
ของหวานพลาดไม่ได้ วอแป๋งดีไลท์ มีให้เลือกเป็นไส้พุทราจีน และไส้ครีมคล้ายไส้ของซาลาเปาไส้ครีม (150 บาท)  แป้งแม้ไม่บางเฉียบแต่ก็กรอบอร่อย หรือจะเป็นเผือกหิมะ (150 บาท) สามารถเลือกได้อย่างที่ถูกใจ
 จะไปดีไลท์ คิทเช่น ไม่ควรไปกันน้อยคน เนื่องจากอาหารจานใหญ่และมีหลากหลายให้เลือกรับประทาน หากจะมาสังสรรค์ในหมู่ครอบครัว เพื่อนฝูง มีห้องจัดเลี้ยงขนาด 10 -12 คน อยู่ชั้นบน 2 ห้อง ส่วนพื้นที่ในร้านมีด้วยกันประมาณ 100 ที่นั่ง ร้านเปิดให้บริการทุกวัน  11.30 -14.00 และ 17.00 -23.00 น. วันอาทิตย์ 11.30 -23.30 น. สำรองที่นั่งล่วงหน้าที่โทร.02-631-8800
 

Mello Yello เมลโล เยลโล อาร์ซีเอ (RCA) โซนเอส (S)



 เสียงดนตรีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตและตอบสนองความรู้สึกได้ในทุกอารมณ์ เสียงเพลงช่วยบรรเทาความตึงเครียดและความเบื่อหน่ายในยามที่ต้องติดอยู่บนท้องถนนที่การจราจรติดขัด ช่วยปลอบโยนและให้กำลังใจในยามท้อแท้ ช่วยให้ช่วงเวลาแห่งความสุขสนุกสนานยิ่งขึ้น และสร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิตยามราตรี มองหาที่นั่งฟังดนตรีดีๆ แนะนำให้ไปที่ เมลโล เยลโล (Mello Yello)
 ร้านตกแต่งในสไตล์ 'Cozy Retro' ด้วยลวดลายบนผนัง ภาพถ่ายที่นำมาใช้ตกแต่ง โซฟาเรียบหรูตัวใหญ่ บนเพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟรูปทรงโคมระย้า บนชั้นลอยใช้เฟอร์นิเจอร์รูปแบบเดียวกันมีโต๊ะพูลสักหลาดสีน้ำเงินเข้มโดดเด่นสะดุดตา ร้านอยู่ในโทนสีดำและสีไม้เติมสีสันด้วยโคมไฟสไตล์คลาสสิค จัดโต๊ะแบบไม่แออัดนั่งสบาย หน้าร้านสามารถนั่งมองความคึกคักบนถนนและฟังเพลงไปพร้อมกันผ่านลำโพงที่ติดตั้งไว้
 เมลโล เยลโล ให้ความสำคัญกับดนตรีเป็นพิเศษหลายคนอาจจะเดาจากชื่อร้านได้ว่าที่นี่มีดนตรีแจ๊สเป็นหลัก นอกจากดนตรีแจ๊สมีเพลงโซล ฟั้งค์ และอิเลคโทรนิก้า ให้ฟังเป็นสีสัน ช่วงดีเจเปิดเพลงเสียงไม่ดังเกินไปนั่งฟังได้เพลินๆ ส่วนช่วงดนตรีสดบนเวทีความดังอยู่ในระดับที่ฟังสนุก มีวงดนตรีฝีมือดีมาบรรเลงคืนละ 2 วง เริ่มตั้งแต่ 21.30น. เป็นต้นไป มีคอนเสิร์ตของศิลปินไทยเดือนละ 2 ครั้ง และมีศิลปินจากต่างประเทศมาแสดงคอนเสิร์ตที่นี่ด้วย คืนวันจันทร์พิเศษด้วยวง 'แจมจันทร์' มีศิลปินในวงการเพลงหลายคนมาร่วมกันบรรเลงดนตรีให้ฟัง
 รายการอาหารมีทั้งอาหารไทยและอาหารตะวันตก อาทิเช่น ยำเนื้อ Mello Yello ไส้กรอก Mello Yello แฮมเบอร์เกอร์ เครื่องดื่มมีหลายชนิดทั้งเบียร์ ไวน์ วิสกี้ และค็อกเทล ไวน์เป็นไวน์จากฝรั่งเศสและอิตาลี ค็อกเทลสูตรพิเศษของร้านคือ Mello Yello มีเบียร์ วอดก้า พั้นช์ เป็นส่วนผสมหลักเติมรสหวานด้วยน้ำผึ้ง อยากนั่งกินข้าวฟังเพลงไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์แนะนำม็อคเทล Mello's Siam Delight มีมะม่วง กล้วย และน้ำมะนาว เป็นส่วนผสมหลัก หรือลอง Mello's Cool มีลิ้นจี่ สับปะรด และไอศครีมวานิลลา เป็นส่วนผสม 
 เมลโล เยลโล อยู่ที่โครงการอาร์ซีเอ (RCA) โซนเอส (S) เปิดบริการ 19.00-02.00น. หยุดวันอาทิตย์ โทรศัพท์ 02-203-0423-5 และ 02-641-4283 รายละเอียดเพิ่มเติมและความเคลื่อนไหวการจัดคอนเสิร์ตติดตามได้จาก www.facebook.com/melloyellojazz

TEN-SUI (เท็นซุย) สุขุมวิท 16



 ไม่น่าเชื่อเลยว่า แค่หลบความวุ่นวายของถนนสุขุมวิทแถว 4 แยกอโศก ใจกลางกรุง เข้าไปในซอย 16  ไม่ถึง 50 เมตร ก็ได้พบเจอกับความสงบเงียบตามแบบวิถีแห่งเซน ณ  ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า TEN-SUI (เท็นซุย) ร้านนี้เขาคัดสรรวัตถุดิบและของสดนำเข้าจากญี่ปุ่น รวมถึงเหล้าสาเกมากมายหลายชนิด ที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
 เป้าหมายและเหตุผลของร้านนี้คือ เพื่อสืบทอดขนบประเพณีตามแบบฉบับของญี่ปุ่นแท้ และถ่ายทอด เสน่ห์ของอาหารญี่ปุ่น ที่แท้จริง ให้คงอยู่ต่อไปและอย่างถูกต้อง เพราะว่าขนบธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ ได้หล่อหลอมมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของแดนซามูไร คอนเซปต์อาหารเน้นความสดใหม่จากท้องทะเล เพราะญี่ปุ่นถือว่าอาหารเหล่านั้นคือของขวัญจากท้องทะเล นอกจากนั้นยังมีอาหารที่เป็นของขวัญจากขุนเขา และผืนป่า คนญี่ปุ่นตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่บันดาลให้ และให้ความเคารพบูชาต่อธรรมชาติตลอดมา โดยเชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เช่นเทพแห่งขุนเขา เทพแห่งน้ำ
 ส่วนเรื่องของวัฒนธรรมการกินของชาวญี่ปุ่น ทุกมื้ออาหารเขาจะแสดงความรำลึกถึงบุญคุณด้วยการเอ่ยคำว่า ‘อิ ตะดะคิมัส’  หมายถึงการน้อมรับ พวกเขามองว่าการประกอบอาหารและการรับประทานอาหารนั้นเป็นกิจกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
 ฉะนั้นคนญี่ปุ่นจึงยึดมั่นในพื้นฐานของวิธีทำอาหารที่ว่า ‘สำหรับวัตถุดิบที่ดี ไม่จำเป็นต้องปรุงรส’ ทำให้อาหารญี่ปุ่นมีรสอ่อน เมื่อเทียบกับอาหารของชาติอื่น ร้านเท็นซุย แห่งนี้ก็เช่นกัน เขาปรุงอาหารตามแบบตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ โดยยึดหลักการนี้ เพื่อคงความสดของวัตถุดิบให้โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการทำปลาดิบหรือซาสึมิ ข้าวปั้นหรือซูชิหน้าต่าง ๆ
 หลักการปรุงอาหารของที่นี่คือดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมา และชูรสชาตินั้นโดยไม่เติมรสชาติอื่นใดจนกระทั่งสูญเสียความเป็นรสชาติของวัตถุดิบนั้น ๆ เช่น ข้าวที่ไม่ปรุงแต่งใด ๆ เมื่อคนญี่ปุ่นรับประทานแล้วก็จะต้องอุทานว่า ‘อืม...ม เพราะข้าวสารดี จึงอร่อย’ หรือไม่ก็...เมื่อรับประทานเต้าหู้อร่อย คนญี่ปุ่นก็จะต้องพูดว่า ‘อร่อยเพราะได้รสชาติของถั่วเหลือง’
 หากใครเคยไปตลาดที่ญี่ปุ่น เห็นแม่ค้านั่งขายปลาที่ข้างถนน ก็จะได้ยินคำว่า ‘ปลาตามฤดูกาลนี่อร่อยนะ มันปลาเยอะ’  สรุปแล้วก็คือคนญี่ปุ่นจะรับประทานอาหารตามฤดูกาล เพราะฉะนั้นหากเอาแง่มุมของฤดูกาลออกไปจากอาหารญี่ปุ่นแล้ว อาหารญี่ปุ่นก็แทบจะกลายเป็นอาหารที่ไร้เสน่ห์สิ้นดี
 นอกจากความสำคัญของวัตถุดิบแล้ว ภาชนะก็คืออาภรณ์แสนสวยของอาหาร ชาติอื่นอาจจะใช้ ‘เครื่องเคลือบกระเบื้อง’ เป็นหลัก ส่วนญี่ปุ่นนั้นจะพิเศษออกไปอีก ด้วยเครื่องเคลือบเซรามิก และเครื่องเคลือบเลคเกอร์ ‘ภาชนะจากไม้ฮิโนะคิ หรือสนไซเปรสญี่ปุ่น และไม้สน’  รวมทั้งภาชนะไม้ไผ่  เครื่องแก้ว แม้กระทั่ง ‘ใบไม้’ และ ‘กระดาษสาญี่ปุ่น’ ซึ่งถือว่าเป็นภาชนะที่ช่วยเพิ่มกลิ่นอายของแต่ละฤดูกาลลงไป
ไม่เพียงแต่เลือกภาชนะให้เข้ากับอาหารเท่านั้น บางครั้งยังคิดรายการอาหารโดยใช้จินตนาการจากภาชนะอีกด้วย
 เพื่ออนุรักษ์ความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ ทางร้านมักจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่เพิ่งจัดไปหมาด ๆ ก็คือ เชิญบรรดา ไมโกะ (เกอิชาฝึกหัด) และ เคโกะ (เป็นคำเรียกเกอิชาของชาวเกียวโต) มาเปิดการแสดงให้ได้ชมอย่างใกล้ชิด นับเป็นการแสดงที่หาชมได้ยาก ซึ่งตั้งแต่เท็นซุยเปิดร้านมา 4 ปี ครั้งนี้ถือว่าเชิญเกอิชามาเปิดแสดงเป็นครั้งที่ 2
 หากต้องการลิ้มรสความเป็นอาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ ลองไปที่ร้าน เท็นซุย สุขุมวิท 16 เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.30-14.30 น. และ 18.00-23.30 น. โทร. 0-2663-2281

โซฟา (SOfA) ปากซอยเอกมัย 5



 ส่วนตัวเวลาอยากนัดเจอเพื่อนๆ สังสรรค์ยามราตรีผมไม่ค่อยนึกถึงย่านทองหล่อหรือเอกมัยสักเท่าไร เพราะเมื่อพูดถึงทองหล่อเอกมัยผมมักจะนึกถึงร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนและดนตรีเสียงดัง อาจจะเหมาะกับการปลดปล่อยในบางโอกาสแต่ส่วนใหญ่หลังเลิกงานผมอยากนั่งร้านบรรยากาศสบายๆ มีเพลงเพราะๆ ฟัง และคุยกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องตะโกนใส่กันมากกว่า นึกถึงร้านย่านหลานหลวง ถนนพระอาทิตย์ หรือบางลำพูก็มีร้านเล็กๆ บรรยากาศดีหลายร้านเสียแต่ว่าไกลบ้าน อาทิตย์ที่ผ่านมาโชคดีไปเจอร้านย่านเอกมัยบรรยากาศถูกใจร้านนี้ชื่อว่า โซฟา (SOfA)
 ถามเจ้าถิ่นแถวเอกมัยได้รับคำตอบว่าร้านเพิ่งเปิดประมาณ 1 เดือนแต่หลายคนบอกว่ารู้สึกคุ้นกับป้ายร้านมาก มีโอกาสถามไถ่เจ้าของร้านได้ความว่าร้านโซฟาเปิดบริการที่ย่านหลานหลวงมานานกว่า 12 ปี คุณกอล์ฟเจ้าของทำกิจการอยู่ประมาณ 3-4 ปี ก่อนจะขายกิจการให้รุ่นน้อง ถึงวันนี้อยากกลับมาเปิดร้านอีกครั้งเป็นจังหวะพอดีกับที่รุ่นน้องต้องการเปลี่ยนชื่อร้านจึงได้ชื่อโซฟากลับมาพร้อมกับป้ายร้านดั้งเดิม ซึ่งดูเหมาะกับร้านในบรรยากาศแสงไฟสลัว ตกแต่งด้วยของเก่าและภาพเขียนสวยๆ โต๊ะเป็นลายไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่น คุณกอล์ฟให้คำขยายของชื่อ 'SOfA' ว่า 'Space of fine Atmosphere' 
 คุณกอล์ฟบอกว่าของเก่าที่ใช้ตกแต่งเป็นของสะสมส่วนตัว โต๊ะอาหารเลือกใช้โต๊ะสูงนั่งกินข้าวสบายหรือจะนั่งทำงานเปิดคอมพิวเตอร์คุยงานกันก็สะดวกเพราะออกแบบมาให้ร้านเป็น 3 ร้านในร้านเดียวกัน ตอนกลางวันเป็นร้านอาหารและร้านกาแฟสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้และมีปลั๊กไฟให้ที่เสาทุกต้นในร้าน ส่วนตอนกลางคืนเป็นร้านบรรยากาศสบายๆ ที่ต่างจากร้านอื่นในย่านนี้ ถามถึงความแตกต่างจากร้านเดิมที่หลานหลวงคุณกอล์ฟบอกว่า ร้านใหม่การตกแต่งมีรายละเอียดเยอะกว่าแต่อารมณ์ของร้านยังคงเป็นอารมณ์เดียวกันและยังคงดูแลลูกค้าอย่างเป็นกันเองเหมือนเพื่อนเช่นเคย และเร็วๆ นี้ชั้นบนของร้านจะเปิดเป็นร้านขายเสื้อผ้าสไตล์เรทโทรและสตูดิโอถ่ายภาพ
 รายการอาหารมีอาหารไทยเป็นหลักกับข้าวจานเด่น อาทิเช่น ไก่นาทอดเกลือ ทะเลผัดพริกสด ยำคอหมูย่างมะพร้าวอ่อน แกงเขียวหวานปลาทู ปลาดุกทอดกรอบผัดเผ็ด เมนูหลังเสิร์ฟเป็นปลาดุกฟูราดหน้าด้วยเห็ดฟางกับข้าวโพดอ่อนผัดเผ็ดโรยหน้าด้วยกะเพรากรอบ รสชาติเข้ากันดีแต่สำหรับคนชอบอาหารรสจัดรสชาติของผัดเผ็ดพอรวมกับปลาดุกฟูอาจจะยังเข้มข้นไม่ถึงใจเท่าไร อาหารจานเดียวที่ผมชิมจนหมดจานแม้ว่าจะกินข้าวมาจนอิ่มแล้วคือ ข้าวผัดแมว และอีกเมนูของร้านที่เพื่อนเจ้าถิ่นบอกว่าชอบเป็นพิเศษคือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง
 หลังมื้ออาหารนั่งคุยกันสบายๆ มีเสียงเพลงคลอเป็นบรรยากาศเมื่อบทสนทนาจบลงเสียงเพลงก็เด่นขึ้นพอให้เรานั่งฟังอย่างสบายอารมณ์ เพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงแจ๊สและเพลงในจังหวะบอสซาโนว่าฟังสบาย บางช่วงจังหวะมีเพลงสากลเก่าที่ไม่ได้ฟังมานานแทรกมาให้หายคิดถึง ค่ำคืนที่ตั้งใจมาพบปะเพื่อนๆ ช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงยาวนานกว่าที่คิด
 โซฟา อยู่ปากซอยเอกมัย 5 เปิดบริการ 07.00-01.00 น. จอดรถได้ในซอยเอกมัย 12 หรือจอดรถได้ที่เอกมัย คอร์ท (ค่าบริการ 100 บาท) ช่วงกลางวันมีชุดอาหารกลางวันจานด่วนบริการ โทรศัพท์ 08-4552-1313

กินพุทราจีนทอด และขนมจีนไหหลำ



ขึ้นต้นที่ประโยคง่ายๆ "ไปหาพุทราจีนอร่อยๆ กินกัน" จากนั้นสถานการณ์พาลื่นไหลไปจนกลายเป็นโต๊ะจีนชุดใหญ่สไตล์กวางตุ้ง จนไปลงเอยด้วยขนมจีนไหหลำและเมนูล้ำเลิศของกุ๊กจีนไหหลำ ท่ามกลางบรรยากาศย้อนอดีตคอฟฟี่ช็อปรุ่นแรกๆ ของสยามสแควร์ และภัตตาคารจีนไหหลำเชิงสะพานนริศดำรัส ที่สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอาหารมาถึงรุ่นที่ 3 แล้ว
ต้นเหตุจากพุทราทอด
  "พุทราจีนทอดที่ไหนอร่อย" หลังจากเพื่อนในเฟซบุ๊คโพสต์ข้อความนี้  คอมเมนท์แนะนำก็พรั่งพรูมาจากเพื่อนๆ จากทั่วสารทิศ แต่นั่นก็ไม่เย้ายวนใจเท่าคำตอบจากเพื่อนคนหนึ่งที่โพสต์รูป พุทราจีนทอด ที่เธอกำลังลิ้มรสอยู่ขณะนั้น ว่าแล้วคนที่ถามหาพุทราจีนทอดและผองเพื่อนในเฟซบุ๊คก็นัดรวมตัวกันมุ่งหน้าไปหาพุทราทอด ที่ภัตตาคาร ไออาต้า ในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าเหตุการณ์ก็เริ่มบานปลายทันทีที่เราพบกับ คุณอัษฎางค์ อาจหาญวงศ์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของ ไออาต้า - พาต้า ภัตตาคารและคอฟฟี่ช็อปที่เปิดให้บริการมากว่า 45 ปีแล้ว

 "ของหวานที่ร้านเรามีไม่มาก แต่พุทราจีนทอดจัดเป็นเมนูเด่นที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว" คุณอัษฎางค์บอกกับเรา
 พุทราจีนทอดเป็นของหวานที่ต้องรับประทานกันตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อย พ่อครัวจะนำเอาพุทรากวนเนื้อละเอียด มาวางบนแผ่นแป้งบางกรอบทาให้เรียบแบนแล้วประกอบแผ่นแป้งลงไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นนำไปทอดในน้ำมันให้แป้งกรอบ แล้วนำมาตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟร้อนๆ พุทราจีนทอดที่ร้านไออาต้านี้แป้งทอดได้บาง กรอบ สีน้ำตาลสวย ยามที่เคี้ยวไปพร้อมกับไส้พุทรากวนที่รสชาติไม่หวานจัด....คิดถึงความรู้สึกนี้ทีไรเป็นต้องรู้สึกหิวขึ้นมาทันใด เอาเป็นว่าใครที่อยากรับประทานพุทราจีนทอดกรอบๆ ไม่หวานจัด แนะนำให้มาลองชิมที่ไออาต้าก็แล้วกัน ส่วนคนตั้งคำถามนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเปิดเมนูสั่งอาหารจานเด่นมาย้อนรำลึกบรรยากาศสมัยเป็นวัยรุ่นเดินสยาม แล้วต้องเจอบาบู แขกยามที่สวมสายสะพาย PATA - IATA บริเวณสยามสแควร์ซอย 3 และ 4 ทุกทีไป
คอฟฟี่ช็อปแรกๆ ของสยามสแควร์
 เก้าปีแล้วที่เราไม่ได้เห็นบาบูสวมสายสะพายชื่อร้าน พาต้า ไออาต้า บริเวณสยามสแควร์ เนื่องจากร้านพาต้า และ ไออาต้า ย้ายมารวมกันเป็นร้านเดียวในชื่อ ไออาต้า บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ หลังจากเปิดให้บริการอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งและเป็ดปักกิ่งที่สยามสแควร์มานานกว่าสามสิบปีทีเดียว

 "พาต้า เริ่มต้นที่สยามสแควร์ซอย 3 ชื่อ PATA พ่อเอามาจากชื่อสายการบินต่างชาติแห่งหนึ่งที่เมื่อแปลเป็นภาษาสเปนแล้ว ออกเสียงว่า เปเป้หมายถึงลูกเป็ดตัวเมีย  พ่อก็เลยเลือกชื่อนี้มาเป็นชื่อร้านเพราะว่าเป็ดตัวเมียออกไข่ได้

 ยุคนั้นเป็ดปักกิ่งยังไม่เข้ามาในเมืองไทย  แต่เรากินไก่ย่างไฟแดง แล่เอาแต่หนังกรอบๆ มากินกับข้าวเกรียมจิ้มน้ำพริกเผา พอเป็ดปักกิ่งเข้ามาเมื่อราว 30 ปีก่อน ไก่ย่างไฟแดงก็ค่อยๆ หายไป เป็นช่วงที่เนื้อย่างเกาหลีเริ่มเข้ามา พ่อเลยประยุกต์อาหารจานร้อนขึ้นมาสำหรับเสิร์ฟเนื้อย่างเกาหลีโดยเอากระทะไปเผาไฟแล้วนำเอาน้ำเต้าหู้ยี้ราดลงไป เสิร์ฟเป็นอาหารจานร้อนเชื่อว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทย"  อัษฎางค์ กล่าวและว่า พาต้าเปิดมาได้สิบปีกิจการดีมาก จนต้องเปิดร้านใหม่ขึ้นที่สยามสแควร์ซอย 4 คราวนี้ชื่อร้าน IATA

 "ร้านเดิมเป็นห้องเดียว ร้านใหม่กว้างขวางขึ้นเพราะว่ามี 2 ห้อง แนวอาหารเหมือนกันทุกอย่าง บางคนไม่รู้ว่าเป็นร้านเดียวกัน เลยบอกว่ากินพาต้าอร่อยกว่า บ้างก็ไออาต้า อร่อยกว่าก็มีบ่อยๆ ชื่อร้านก็เกี่ยวข้องกับการบิน เป็นชื่อย่อของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ พ่อไปอ่านเจอในหนังสือพิมพ์แล้วชอบคำนี้ เพราะมีคำลงท้ายว่า TA แปลว่าใหญ่" ทายาทปัจจุบันเล่าให้ฟังถึงที่มาของชื่อร้านที่หลายคนคงคาดไม่ถึง

  พาต้า ไออาต้า อยู่คู่สยามสแควร์มาสามสิบกว่าปี โดยมีบาบู 2 คนสวมสายสะพายชื่อร้านจนเป็นสัญลักษณ์ แล้วจู่ๆ บาบูก็หายไปพร้อมกับร้านอาหารจีนรุ่นเก๋าที่คงบรรยากาศมืดๆ ทึมๆ แต่ชวนคิดถึงความหลังได้อย่างแรง

 มาวันนี้ พาต้า ไออาต้า ย้ายร้านมาพร้อมกับพนักงานที่อยู่กันมาตั้งแต่เปิดร้านไม่ว่าจะเป็นกุ๊ก กัปตันเล็ก และบาบูที่ยังคงสวมสายสะพายเช่นเดียวแต่คราวนี้เขียนชื่อสองร้านรวมกัน เพียงแต่บาบูได้เสียชีวิตไปคนหนึ่งจึงเหลือเพียงคนเดียวที่คอยอำนวยสะดวกยามเราจอดรถเช่นเดิม

 "ที่นี่กว้างกว่า ตกแต่งประยุกต์ขึ้นหน่อยสุดแนวเดิม แต่มืดไม่เท่าเดิม เหตุที่ต้องมืดเพราะสมัยก่อนร้านอาหารจีน เวลาเดินเข้าไปคนเดียวทานไม่ได้เพราะว่าต้องจัดเป็นโต๊ะใหญ่ พ่อผมเลยตั้งชื่อว่าพาต้าคอฟฟี่ช็อป คือ เข้ามากินกาแฟก็ได้ เข้ามากินราดหน้าจานเดียวก็ได้ มาสามคนก็ทานได้ไม่ต้องโต๊ะใหญ่"

 โต๊ะเก้าอี้ของเก่าที่มีตัวอักษรจีนโบราณก็ยกมา รวมทั้งโซฟาสีดำตัวยาวที่นักร้องดัง โดม ปกรณ์ ลัม ชอบมานั่งกินนกพิราบทอดตั้งแต่เด็กๆ จนถึงวันนี้ก็ยังมาแฝงตัวอยู่ในเงามืด ไม่แน่ว่าวันหนึ่งคุณอาจได้เจอเขาที่นี่ก็ได้
เมนูเด็ดวันวานถึงวันนี้ เมนูฮิตตลอดกาลต้องยกให้เป็ดปักกิ่ง เป็ดที่นี่หนังกรอบบางมาก ห่อด้วยแป้งแผ่นกลมๆ คล้ายโรตีแต่บางกว่า รสชาติน้ำซอสกลมกล่อมพอดิบพอดี เคี้ยวคู่กับต้นหอม แตงกวา เพิ่มรสเพิ่มกลิ่นกินกันเพลินทีเดียว ส่วนเนื้อเป็ดที่นี้ทำให้ 2 เมนู เลย เราเลือกเป็นเนื้อเป็ดทอดกระเทียม กับนำไปผัดถั่วงอก

 ใครที่กินเนื้อวัวต้องชอบเนื้อไออาต้า (ถ้าไม่กินเนื้อสั่งหมูแทนได้) เนื้อหมักรสนุ่มเสิร์ฟมาในกระทะร้อนที่ทางร้านเป็นต้นคิด เจ้าของร้านบอกว่าจะต้องนำเนื้อหรือหมูไปหมักให้ได้ที่ก่อน เวลาลูกค้าสั่งก็จะนำเนื้อไปปรุงให้สุกก่อนแล้วมาวางในกระทะ โปะด้วยกระเทียมพริกไทยที่ผัดเอาไว้ แล้วยกเอาทั้งกระทะไปเผาไฟให้ร้อนจัด เวลามาเสิร์ฟที่โต๊ะได้ทั้งเสียงร้องของกระทะโดนเนื้อและกลิ่นหอมตลบอบอวลเลยทีเดียว

 เรื่องกระทะร้อนนี้ ถ้าร้อนจัดกว่าเนื้อไออาต้า ต้องยกให้เนื้อหรือหมูย่างเกาหลีที่ปรุงด้วยเต้าหู้ยี้สูตรพิเศษ เสิร์ฟกันมาในกระทะเดือดปุดๆ เลยทีเดียว แต่ก็มีอาหารจานร้อนที่ร้อนที่สุด นั่นก็คือ ขาห่านโปแลนด์อบกับเส้นหมี่ไข่ในหม้อทองเหลือง

 " สมัยก่อนเวลาขาห่านมันช้ามากเพราะเป็นหม้อดิน ผมเลยมาเปลี่ยนเป็นหม้อทองเหลือง ร้อน ทน นาน หนักสุดๆ เอามือแตะไม่ได้เนื้อติดเลย ร้อนมาก ร้อนตลอดจนกระทั่งเรากินหมด "

 ผู้สืบทอดรุ่นที่สองบอกว่าเมนูของที่ร้านค่อนข้างคลาสสิก เพราะเป็นเมนูดั้งเดิมที่ผู้คนยังนิยมรับประทานกันอยู่ เช่นเดียวกับ ซึงหงี่โช่ว น้ำจิ้มผักชีครอบจักรวาล ที่คุณอัษฎางค์รับประทานมาตั้งแต่เด็ก " เป็นน้ำจิ้มสารพัดนึก กินได้กับทุกอย่างแก้เลี่ยน ชูรส เป็นน้ำจิ้มผักชีสูตรเด็ดของเรา"

 กว่าจะถึงพุทราจีนทอด เราต้องผ่านเมนูคงกระพันสี่สิบกว่าปีของพาต้า ไออาต้า เริ่มตั้งแต่ ยำเป๋าฮื้อรสเปรี้ยวๆ หวานๆ นกพิราบทอดยิ่งเคี้ยวยิ่งมัน เป็ดปักกิ่ง เนื้อ/หมูไออาต้า เนื้อ/หมูเกาหลี ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ ขาห่านโปแลนด์อบหมี่ไข่ นับเป็นมื้ออาหารที่บานปลายทว่าอิ่มท้องอิ่มใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต้นเรื่องและพลพรรค
ขนมจีนไหหลำในอารมณ์หวนอดีต
 กินโต๊ะจีนชนิดจัดหนักกันมาแล้ว คราวนี้เราชวนคุณเดินเผาผลาญพลังงาน แนะนำให้ไปจอดรถที่วัดสระเกศ (หรือทิ้งรถไว้ที่บ้านแล้วใช้บริการรถสาธารณะก็ได้) จากนั้นเดิมข้ามสะพานนริศดำริ ร้านสุธาทิพย์จะตั้งอยู่เชิงสะพานฝั่งเดียวกับวัดสระเกศ

 สุธาทิพย์ เป็นร้านอาหารตามสั่งไทย จีน ฝรั่งสไตล์ไหหลำ ที่เริ่มกิจการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 ถึงวันนี้ก็ 88 ปีแล้ว 
 ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะตั้งอยู่ใกล้กับถนนจักรพรรดิพงษ์ที่มียวดยานพาหนะผ่านไปมามากมาย แต่มานั่งในร้านสุธาทิพย์แล้วรู้สึกสบายทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นร้านติดแอร์เลย อาจเป็นเพราะร้านตั้งอยู่ตรงหัวมุม ด้านหลังเป็นคลองมีลมพัดผ่าน ที่สำคัญบรรยากาศในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์อายุห้าสิบปีขึ้นไป น่าดูน่าชมเป็นอย่างมาก

 คุณสุพัตรา ดานุโพธิ์บริบูรณ์ เจ้าของร้านรุ่นที่ 3 เล่าให้ฟังว่าเดิมทีเวลาที่คนไหหลำที่มาจากเมืองจีนก็จะมาพักที่ชั้นบนของร้าน ก่อนจะแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ คนที่เก่งในงานช่างไม้ก็จะตอบแทนเจ้าของบ้านด้วยการทำโต๊ะ เก้าอี้มาให้ เป็นงานแฮนด์เมดของจริงที่มีเสน่ห์จับตา

 "สมัยกง (ปู่) เหน่ (ย่า) แรกๆ ก็ทำงานเป็นลูกจ้างร้านกาแฟ ต่อมาก็มาเปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตรงนี้แหละ แรกๆ ยังเป็นเรือนไม้ทรงขนมปังขิง อยู่กันมาเกือบร้อยปีเป็นอาคารของทางทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  ช่วงหลังก็ปรับปรุงมาเป็นตึก

 แรกๆ ขายอาหารจานเล็กๆ เพราะลงทุนไม่เยอะ ขายข้าวมันไก่ไหหลำ ขนมจีนไหหลำ ต่อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากร้านอาเล็กๆ ก็เป็นภัตตาคารจีนสองชั้น กลางคืนมีจัดโต๊ะจีนปูผ้าขาว มีโต๊ะสำหรับเล่นไพ่นกกระจอก มีกับข้าวเป็นร้อยอย่างเลย

 กุ๊กไหหลำสมัยก่อนจะเป็นผู้ชายนะ เพราะว่าต้องใช้กระทะเหล็กหนักๆ ต้องใช้กำลัง และไฟแรง ก็ทำสืบมาเรื่อยๆ จนมาถึงรุ่นแม่ซึ่งเป็นสะใภ้มาแต่งงานกับพ่อก็สืบทอดกิจการ แต่เนื่องจากอาหารที่ทำมันเยอะมาก ทำไม่ไหวก็เลยลดลง ที่คงไว้คือ สุกี้ไหหลำ"

 คุณสุพัตราเล่าถึงสุกี้ไหหลำเมนูวันวานว่า จะวางเตาถ่านเอาไว้บนโต๊ะอาหาร วางหม้อแขกใส่น้ำซุปตั้งไว้ 
 "เวลาจะกินถ่านก็จะกระเด็นออกมาบ้างแต่สนุก เสน่ห์ของสุกี้ไหหลำคือ เนื้อหมักกับเต้าหู้ยี้ ซึ่งไม่ใช่เต้าหู้ยี้ที่ซื้อมาแล้วนำมาหมักเลยนะ เต้าหู้ยี้ของเราจะต้องมาโขลกให้เข้ากับรากผักชี กระเทียมพริกไทย ผงพะโล้ และเครื่องเทศอีกมากมาย แล้วนำไปผัดจนส่วนผสมหนืด

 ถึงเวลารับประทานก็นำเต้าหู้ยี้ที่ผัดมาคลุกกับเนื้อที่ผ่านการหมักกับไข่ น้ำมันหอย น้ำมันงา เวลาคีบเนื้อลงไปในหม้อซุป จะมีน้ำที่กระจายออกมาจากเนื้อผสมลงไปในน้ำซุปทำให้ขุ่น แต่อร่อย รับประทานกับวุ้นเส้น ผักสด วิธีทำยุ่งยากแต่อร่อย" คุณสุพัตราบอก

 ต่อมาทางร้านหยุดขายเวลาเย็น จึงปรับเมนูขายสุกี้ไหหลำเป็นอาหารจานเดียวแต่ก็ยังคงวิธีทำแบบดั้งเดิมอยู่ เช่นเดียวกับอาหารเมนูอื่นๆ ก็ปรับให้เป็นอาหารจานเดียวเพื่อให้เข้ากับเศรษฐกิจของแต่ละยุค โดยที่อาหารจานหลักๆ ก็ยังขายอยู่แต่ลดรายการลง
ขนมจีนไหหลำหลายหน้า ขนมจีนไหหลำ ไม่เหมือนกับเส้นขนมจีนที่เราคุ้นเคยกันเลย ออกจะไปมีขนาดใกล้เคียงกับเส้นอุด้งแต่มีความกลมมากกว่า เจ้าของร้านบอกว่าสั่งมาจากโรงงานเล็กๆ ที่ทำให้มาตั้งแต่รุ่นอากง เป็นเส้นที่ทำมาจากแป้งข้าวเจ้า

 ส่วนหน้าของขนมจีนไหหลำก็มีทั้งหน้าเนื้อ หมู ไก่ มีทั้งแบบแห้งและน้ำ  ถ้าเป็นหมู หรือ เนื้อแห้ง ก็จะเป็นเนื้อตุ๋นยาจีนมาจนเปื่อยหอมกินแกล้มกับผักกาดดอง ถั่วลิสงบุบพอแตก แบบน้ำก็แนมด้วยเช่นกัน แต่ที่ขาดไม่ได้คือต้องกินกับกะปิไหหลำ ซึ่งเป็นกะปิปรุงรสกับพริก กระเทียม น้ำส้มสายชู

 "ปกติแล้วคนถ้าทำกันในครัวเรือนก็จะนำกะปิไหหลำไปผัดกับหมูสามชั้น กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยค่ะ"

 อาหารไหหลำที่มีชื่อเสียงว่าอร่อยนั้น ยังมียำจีน หรือ ยำหมูหรือเนื้อตุ๋นซึ่งไม่ได้ยำแบบไทยๆ แต่เป็นการยำโดยใส่ผักกาดดองซอย กับถั่วลิสงบุบพอแตก ซึ่งก็เป็นเครื่องของหน้าขนมจีนไหหลำแบบแห้งนั่นเอง

 "เนื้อ หมู เราต้องนำไปตุ๋นเครื่องยาจีน สมุนไพร พริกหอม เครื่องเทศ เราตุ๋นโดยใช้เตาถ่าน ซึ่งมีข้อดีตรงที่ว่าเวลาไฟราแล้วเนื้อจะเปื่อย หอม ส่วนถ้าเป็นหมูตุ๋นนี้เราต้องนำไปขูด ย่าง แล้วก็ค่อยนำมาตุ๋นอีก ทำให้มีความหอม"

 นอกจากข้าวมันไก่ไหหลำ ที่มีเนื้อไก่นุ่ม น้ำจิ้มรสจัดที่กินได้กับอาหารทุกจานแล้ว ยังมีข้าวหมูแดงที่ไม่เหมือนใคร เจ้าของร้านบอกว่าข้าวหมูอบซอส แต่เรียกว่าข้าวหมูแดงเพราะจะไม่สับสนกับข้าวซี่โครงหมูอบ เป็นเมนูอาหารจานเดียวที่น่ารับประทานรสชาติกลมกล่อมไม่ต้องง้อน้ำจิ้มใดๆ ได้เลย

 ส่วนกับข้าวไหหลำนั้นคุณสุพัตราแนะให้ลองผัดวุ้นเส้นไหหลำ ซึ่งจะนำวุ้นเส้นลวกไปผัดกับเนื้อหมู ไก่ ปลาหมึกสด โดยใส่น้ำสต๊อกลงไปผัดจนน้ำสต็อกซึมเข้าไปในวุ้นเส้น เวลารับประทานจะได้รสชาติชุ่มๆ ของน้ำสต็อกและเครื่องปรุงรสที่วุ้นเส้นได้ดูดซึมไว้

 อีกเมนูที่พลาดไม่ได้ คือ มะระตุ๋น ที่ตุ๋นกันด้วยเตาถ่าน 10 ชม.ขึ้นไป

 " เวลาตุ๋นเราจะเอากระดูกหมูที่สับมาใส่ลงในโถพร้อมมะระ ใส่ซอส นึ่งไป 10 ชม. มันจะนุ่มๆ หวานกระดูกหมู รสชาติไม่เหมือนกับที่ต้มเป็นหม้อๆ ลูกค้า ถ้าจะให้อร่อยทำวันนี้ขายพรุ่งนี้ " คุณสุพัตราบอกยิ้มๆ

 มารับประทานอาหารไหหลำร้านสุธาทิพย์ โปรดอย่าใจร้อน เพราะพนักงาน แม่ครัว ล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่าแก่สืบกันมาตั้งแต่ยุคพ่อแม่ ซึ่งอายุอานามก็รุ่นคุณยาย คุณป้า บริการอาจช้าไปบ้างโปรดเข้าใจ
 
 จากพุทราจีนทอดจานเดียว บานปลายมาเป็นอาหารจีนมื้อใหญ่สไตล์กวางตุ้งและไหหลำ ช่างเป็นวันวานที่อิ่มหนำและมีความสุขอะไรเช่นนี้
หมายเหตุ : ร้านไออาต้า ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เปิดทุกวัน 16.00 - 02.00 น. วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ 11.00 -02.00 นโทร.02-718-1730-3
                   ร้านสุธาทิพย์ เปิดอังคาร - อาทิตย์ 08.00 -15.00 น. โทร.02-282-4313

เชฟสิงห์ ที่บ้านอำเภอ



 น้อยคนที่จะปฏิเสธความอร่อยของอาหารทะเล แค่นึกถึงกลิ่นหอมๆ ของกุ้ง หอย ปู ปลา เผาสุกกับน้ำจิ้มรสเด็ดก็ยั่วน้ำลายใครหลายคนได้แล้ว บางคนยอมลงทุนขับรถไปเมืองชายทะเลเพื่อกินอาหารทะเลสดๆ สักมื้อเพราะหัวใจสำคัญของอาหารทะเลคือความสด โชคดีที่ทุกวันนี้อาหารทะเลสดๆ เป็นๆ หากินไม่ยาก ถ้าไม่สนใจว่าจะต้องนั่งกินริมทะเลในกรุงเทพฯ ก็มีร้านอาหารทะเลอยู่หลายร้านทั้งร้านใหญ่ระดับภัตตาคารไปจนถึงร้านเล็กๆ ที่มีอาหารทะเลสดไม่แพ้ใครอย่างร้าน บ้านอำเภอ ของ เชฟสิงห์ หม่องสนธิ
 เชฟสิงห์ ทำอาหารมานานกว่า 40 ปี เรียนรู้วิธีการทำอาหารจากในครัวจนได้เป็นเชฟอาหารจีนทำงานในห้องอาหารจีนของโรงแรมใหญ่ๆ หลายแห่งนานกว่า 20 ปี ถึงจุดอิ่มตัวกับการทำงานในโรงแรมเชฟสิงห์มาเปิดร้านอาหารจานด่วนในหมู่บ้านสัมมากรและเปลี่ยนเป็นร้านอาหารทะเลในที่สุดเพราะมีความชำนาญเรื่องอาหารทะเลทั้งการปรุงอาหารและทำธุรกิจส่งอาหารทะเลซึ่งทำให้มีวัตถุดิบที่สดใหม่ อาทิเช่น หอยเชลล์จากแม่กลองและสัตหีบ เนื้อปูจากชะอำ ปลาหมึก กั้ง และปูทะเล จากคลองด่าน 
 เชฟสิงห์เลือกใช้ปูทะเลเพราะสามารถเลี้ยงไว้ได้โดยไม่ต้องใช้น้ำเค็มทำให้มีปูเป็นๆ รสชาติสดใหม่ ร้านเล็กๆ ใช้พื้นที่ในบ้านตั้งโต๊ะเพียง 12 โต๊ะ มีครอบครัวของเชฟช่วยกันดูแล ช่วงเวลาที่คนเยอะอาหารจะช้าสักหน่อยเพราะเชฟสิงห์รับหน้าที่ปรุงเองทุกจาน
 เมนูขายดีคือ หอยเชลล์เผา ถ้าอยากชิมรสมือเชฟระดับโรงแรมลองสั่งเป็น หอยเชลล์ผัดพริกไทยดำ หอยเชลล์ผัดกระเทียม หรือ หอยเชลล์เจี๋ยนน้ำมันหอย เมนูยอดนิยมอย่าง ปูผัดผงกะหรี่ ใช้ปูเป็นเนื้อหวานน้ำหนักครึ่งกิโลกรัมขึ้นไป ถ้าไม่ชอบแกะปูให้มือเลอะมี เนื้อปูผัดผงกะหรี่
 อยากกินอาหารทะเลปรุงแบบอาหารจีนสไตล์ฮ่องกงแนะนำ กุ้งแชบ๊วยผัดขิงหอม เชฟสิงห์บอกว่าเคล็ดลับในการผัดสัตว์ทะเลมีเปลือกให้อร่อยคือต้องนำไปทอดก่อนเพื่อความหอม จะเปลี่ยนจากกุ้งแชบ๊วยเป็น ปูทะเลผัดขิงหอม ก็อร่อยไม่แพ้กัน
 ถ้าเบื่อเมนูอาหารเดิมๆ ที่คุ้นเคยแนะนำ ปลาหมึกแช่น้ำปลา หรือลองสั่ง กุ้งนิ่มทอดราดซอสมะนาวหวาน ใช้กุ้งลอกคราบเปลือกนิ่มกินได้ทั้งตัวเชฟสิงห์บอกว่าอร่อยกว่าปูนิ่มเพราะมีเนื้อเต็ม
 อีกหนึ่งเมนูอร่อยสไตล์จีนคือ กั้งหินผัดพริกเกลือ เลือกใช้กั้งหินเพราะรสชาติคล้ายกุ้งมังกรและราคาย่อมเยากว่ากั้งแก้ว เมนูนี้เชฟสิงห์บอกว่าถ้าเป็นกั้งแก้วราคาจะอยู่ที่ประมาณ 700-800 บาท แต่กั้งหินราคาอยู่ที่ 350 บาท อีกหนึ่งเมนูที่เชฟสิงห์แนะนำคือ แกงป่าปลาเห็ดโคน
 บ้านอำเภอ อยู่ในหมู่บ้านสัมมากร ถนนรามคำแหง จากปากซอยรามคำแหง 110 ตรงเข้าไปประมาณ 500 เมตร ร้านอยู่ทางซ้ายมือตรงข้ามทะเลสาบ วันธรรมดาเปิดบริการ 15.00-24.00 น. วันเสาร์และวันอาทิตย์ เปิดบริการ 11.30-23.00 น. โทรศัพท์ 08-5935-8144

ร้านภัทรา (patara FINE THAI CUISINE) ทองหล่อ 19



เวลานึกถึงมื้อค่ำสำหรับกินข้าวและนั่งดื่มแบบสบายๆ เราไม่ค่อยนึกถึงร้านอาหารไทยกันสักเท่าไร อาจเพราะถ้านึกถึงร้านอาหารอิตาเลียนยังพอนึกภาพนั่งจิบไวน์ในบรรยากาศสลัวใต้แสงเทียนได้

 พอเป็นร้านอาหารไทยเราคุ้นเคยกับการกินมากกว่าการนั่งดื่ม แต่ใช่ว่าจะไม่มีร้านอาหารไทยบรรยากาศดีๆ เอาเสียเลย อย่างน้อยมีหนึ่งร้านที่ผมรู้จักชื่อร้านภัทรา (patara FINE THAI CUISINE)
 ภัทราเปิดมานานกว่า 20 ปี แต่ร้านแรกอยู่ที่ประเทศอังกฤษจากนั้นจึงขยายเป็น 4 สาขาในประเทศอังกฤษ และมีสาขาในหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย สิงคโปร์ จีน

 สำหรับภัทราในไทยเปิดเป็นสาขาท้ายสุดเมื่อ 8 ปีที่แล้วบนถนนสาทร และย้ายมาอยู่ในซอยทองหล่อเมื่อ 4 ปีก่อน ร้านใหม่เป็นบ้านสองชั้นเมื่อผ่านประตูร้านเข้าไปจะพบพื้นที่เหมือนห้องนั่งเล่นอยู่หน้าบาร์เครื่องดื่ม ส่วนของห้องอาหารทางด้านในตกแต่งเรียบง่ายทันสมัย

 ชั้นบนของบ้านมีห้องส่วนตัว 3 ห้อง สวนด้านข้างตัวบ้านมีโต๊ะอาหารที่รายรอบด้วยต้นไม้ร่มรื่นและมีโซฟาตัวใหญ่ให้เอนหลังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ประดับไว้ด้วยโคมไฟสวยงาม
 อาหารไทยของภัทราไม่ใช่อาหารไทยชาววังแต่เป็นอาหารไทยที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและไลฟ์สไตล์ของคนไทย เช่นเดียวกับอาหารไทยของภัทราในต่างประเทศก็จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวัฒนธรรมการกินของคนในประเทศนั้นๆ

 รายการอาหารกว่า 80% เหมือนกันในทุกประเทศและความเหมือนอีกหนึ่งอย่างคือรสชาติอาหารที่เป็นรสชาติอาหารไทยแท้ วัตถุดิบเน้นสนับสนุนสินค้าในประเทศโดยเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ เช่น ผักโครงการหลวง เนื้อหมูปลอดสาร และเลือกใช้วัตถุดิบบางอย่างที่คนนิยมกินจากต่างประเทศ เช่น เนื้อแกะ หอยเชลล์ มาปรุงเป็นอาหารไทย
 เมนูของว่างแบบไทยๆ อาทิเช่น ก๋วยเตี๋ยวม้วน ปอเปี๊ยะ DIY อาหารไทยในรูปแบบใหม่ๆ มี สลัดผักย่าง เมนูรสจัดแบบไทยๆ แนะนำ ยำมะเขือย่าง พล่ากุ้งแม่น้ำ อีกหนึ่งเมนูอร่อยคือ แกงเนื้อปูใบชะพลู เสิร์ฟกับขนมจีน และมีเมนูอาหารเจไว้บริการ

 เครื่องดื่มมีน้ำสมุนไพรซึ่งทางร้านทำเองและทำใหม่ทุกวัน เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มีค็อกเทลสูตรพิเศษซึ่งบาร์เทนเดอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ ของประเทศอังกฤษช่วยคิดสูตรให้เมื่อครั้งภัทราเปิดสาขาที่สามในประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีค็อกเทลซึ่งนำน้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรไทยมาเป็นส่วนผสม
 ค็อกเทลแก้วเด่นที่ทางร้านแนะนำ อาทิเช่น ภัทรา (Patara) ภูเก็ต โมฮิโต (Phuket Mojito) เบซิล สมูทตี้ (Basil Smoothie) และค็อกเทลใหม่ล่าสุด กลอเรียส กัววา (Glorious Guava)
 ภัทรา อยู่ในซอยทองหล่อ 19 เปิดบริการ 11.30-15.00 น. และ 18.00 น. เป็นต้นไป โทรศัพท์ 02-185-2960-1

99 เรสท์ แบ็คยาร์ดคาเฟ่ (99 Rest Backyard Cafe)



จะเป็นอย่างไรถ้าได้นั่งปิกนิกในสวนสวยที่มีความเป็นส่วนตัว เด็กๆ มีที่วิ่งเล่นได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญไม่ต้องเข้าครัวเองก็มีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกรับประทานได้ทั้งวัน  

  99 เรสท์ แบ็คยาร์ดคาเฟ่ (99 Rest Backyard Cafe) เจ้าของคอนเซปต์ "ร้านอาหารในสวนหลังบ้าน"  เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางม่านฝนหลงฤดูที่กลับทำให้สวนขนาดย่อมหลังบ้าน กับต้นจามจุรีใหญ่ริมบึงน้ำเล็กดูชุ่มชื่นชวนให้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในราวป่า ทั้งๆ ที่สถานที่ตั้งนั้นอยู่ห่างจากถนนพระรามเก้าไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น

 คุณริน ทิพย์ชยา พงศธร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด 99 เรสท์ แบ็คยาร์ดคาเฟ่ กล่าวว่าที่นี่เป็นการเติมเต็มความสะดวกสบายและความพอใจให้กับลูกบ้านในโครงการ  99 เรสซิเด้นท์ ของ พรีเมียร์กรุ๊ป หากต้องการจัดเลี้ยง หรือ รับรองแขก ขณะเดียวกันก็เปิดบริการให้กับผู้คนที่ชื่นชมในบรรยากาศใต้ร่มไม้ใหญ่ ในวันสบายประตูกระจกบานใหญ่สามารถเปิดทะลุถึงสวนรับลมและความเป็นธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ครอบครัวที่มีลูกหลานตัวเล็กๆ ก็สามารถจับจองที่นั่งในสวน ซึ่งมีพื้นที่ให้เด็กได้วิ่งเล่นได้ใกล้ๆ

 "ร้านเราเป็นร้านในสวน จะสังเกตได้ว่าเนื้อที่ของร้านกับเนื้อที่สวนมีขนาดเท่าๆกันเลย ด้านนอกจัดที่นั่งไว้ 25 ที่ ด้านใน 32 ที่ ถ้าจัดเลี้ยงค็อกเทลก็รองรับแขกได้ประมาณ 200 คน คอนเซปต์ คือ อยากให้กินข้าวเอาท์ดอร์ สบายๆ เราไม่ใช่ไฟน์ไดนิ่ง ไม่เป็นฟิวชั่น  เรามีอาหารหลากหลาย เสิร์ฟได้ตลอดทั้งวัน เน้นคุณภาพ รสชาติ และความเป็นโฮมเมด ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ซอส หรือว่าไส้กรอก เราทำเอง ผักก็เลือกใช้ผักออร์แกนิคจากเกริกฟาร์มที่เชียงใหม่ เมนูอาหารของมีค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับการแชร์ให้รับประทานด้วยกันอาหารจานเดียวก็มี โดยเฉพาะเบเกอรี่ของเราเป็นสไตล์โฮมเมดที่อยากให้มาลองลิ้มกันค่ะ" คุณริน เชิญชวน

 ในส่วนของเมนูอาหารดูแลและสร้างสรรค์ โดย เชฟเอียน พงศ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย ออกแบบเมนูให้เป็นอาหารนานาชาติ ทั้งจานเด่นของไทย จีน ญี่ปุ่น อิตาเลียน มีทั้งอาหารจานเดียวที่แฝงไอเดียอย่าง สปาเกตตีผัดน้ำพริกอ่อง ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่ม แซนด์วิชหมูสูตรพิเศษใส่น้ำพริกเผา ซอสพริกศรีราชา และแคบหมู ข้าวผัดหมูฮ้อง ไปจนถึงอาหารจานหลัก เช่น ซี่โครงหมูซอสมะขาม ขาแกะออสเตรเลียตุ๋น แซลมอนถั่วลันเตาและดอกคำฝอย เนื้อเซอร์ลอยน์จากออสเตรเลียย่างซอสพริกไทยดำ เป็นต้น

 สำหรับเมนูแนะนำ เชฟเอียนให้เราลองชิม ปลาหมึกทอดกรอบแบบอิตาเลียน (230 บาท) เสิร์ฟมาในถุงกระดาษที่สามารถหยิบ ถือ ไปนั่งกินในสวนได้ตามสะดวก ในถุงก็มีทั้งปลาหมึกคลุกแป้งบางๆ ทอด มันทอด และซูกินี่ทอดเคียงมาให้กินคู่กับซอสกระเทียม ตามด้วยสลัดผักสดจากเชียงใหม่คลุกน้ำสลัดบัลซามิกเข้มข้น ราดหน้าด้วยไข่ลวก (220 บาท) ไข่ลวกนี้ทำให้สุกแบบสโลว์ คุก ใช้เวลานาน 1 ชม.ไข่จึงสุกและได้รูปทรงสวยงามดั่งที่เห็น หากเวลารับประทานควรจะคลุกให้เข้ากันเพื่อจะได้รสชาติของไข่ลวกและซอสรสเข้ม

 แต่ถ้าชอบเข้มข้นแบบไม่มัน แนะนำให้ลองชิมสลัดร็อกเก็ตกับไส้กรอกอิตาเลียนรสเผ็ด (280 บาท) ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิกรสเปรี้ยว ส่วนอาหารจานหลัก เชฟเอียนภูมิใจเสนอ ขาแกะออสเตรเลียตุ๋น (890 บาท) เนื้อนุ่มชุ่มซอสเพราะสโลว์ คุก เป็นเวลา 24 ชม.กว่าจะได้ที่เสิร์ฟคู่ซอสกระเทียมและธาม คนรับปลามี แซลมอนถั่วลันเตาและดอกคำฝอย (395 บาท)

 ของหวานที่นี่กล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักขนมก็ได้ เป็นที่รู้ว่าเชฟเอียนมีฝีมือในการทำครีมบรูเล่ มาที่นี่เราก็ได้ชิม ครีมบรูเล่สมใจ แต่เป็นครีมบรูเล่ชาเขียว (110 บาท) เนื้อนุ่มกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังได้ลอง ช็อกโกแลตฟองดองท์ที่ไส้ในเป็นชาเขียวร้อนๆ (120) แถมด้วยนิวยอร์กชีสเค้กสูตรใหม่ที่เชฟเอียนทำให้ลองชิม

 99 เรสท์ แบ็คยาร์ดคาเฟ่ เปิดบริการทั้งแต่ 11.00 -23.00 น. จะไปนั่งจิบชา กาแฟ กับขนมเค้ก หรือว่าจะรองท้องด้วยอาหารจานเดียว หรือว่าจะเป็นมื้อสังสรรค์ระหว่างเพื่อนๆ และครอบครัวที่ชอบบรรยากาศสบายๆ แบบในสวน และไปได้ทุกวันที่เป็นวันสุขของคุณ
หมายเหตุ : สำรองที่นั่ง โทร.02 -300 -4339  เข้าซอยพระรามเก้า 41 ไปตามทางเรื่อยๆ พอเห็นแยกทางขวามือให้ตรงไปตามทางเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ด้านหน้า โครงการ  99 เรสซิเด้นท์