วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ลงแขกลงคลอง



เมื่อมหาอุทกภัยปลายปีก่อน...หากจำกันได้ หลังจากน้องน้ำมาจ่อกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งจากผู้หลักผู้ใหญ่ของกทม.ให้ขุดลอกคูคลอง เก็บขยะวัชพืช หวังว่าจะเปิดทางให้น้องน้ำไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ไม่ว่าจะแก้ปัญหาทันหรือไม่ (คงเห็นคำตอบกันแล้ว)
ทว่า นี่กลายเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าวิธี 'การขุดลอกคูคลอง' ก็ยังใช้ได้ดีทั้งยังได้รับเลือกเป็นวิธีแก้ไขปัญหาระดับชาติอีกด้วย
บีบภาพให้แคบลง จากภาพใหญ่ทั้งขวานทอง โฟกัสแค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ต.บางคนที และ ต.ยายแพง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ภายใต้การควบคุมดูแลของ อบต.บางคนที น่าจะฉายภาพการจัดการสายน้ำของตนได้ชัดเจน
เพราะชาวสมุทรสงครามโดยพื้นเพมีชีวิตติดสายน้ำอยู่แล้ว โดยเฉพาะชาวบางคนที ที่วันนี้ยังคงรักษาวิถีเดิมไว้ แม้ไม่เต็มร้อยแต่ก็เกือบสมบูรณ์...
เพราะ อ.บางคนที มีพื้นที่ส่วนมากเป็นที่ราบลุ่ม มีคูคลองร่องสวนมากมาย เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม ปลูกพืชผักผลไม้ ทำสวน ปลูกไม้ยืนต้น ชาวบางคนทีส่วนมากจึงประกอบอาชีพเกษตรกร เช่น ทำสวนมะพร้าว ส้มโอ กล้วย มะม่วง มีบ้างที่รับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม และค้าขายทั่วไป
ด้วยองค์ประกอบเช่นนี้ วิถีชีวิตของชาวบางคนทีจึงหนีไม่พ้นอยู่กับสายน้ำลำคลองตั้งแต่โบราณยันปัจจุบัน ซึ่งชาวบ้านยุคคาบเกี่ยวระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ต่างยกย่องสรรเสริญภูมิปัญญาของบรรพบุรุษว่าช่างชาญฉลาด...
ไพบูลย์ เจริญสมบัติ วัย 51 ปี ชาวบ้านบางคนทีและเป็นสมาชิก อบต.หมู่ 5 เล่าว่าคูคลองที่เห็นๆ นี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เกิดจากฝีมือและสติปัญญาบรรพบุรุษของพวกเขา
"คูคลองที่นี่ไม่ใช่ธรรมชาติ...เกิดจากบรรพบุรุษของเราขุดลอกคลอง ถ้าคลองธรรมชาติจะคดเคี้ยว แต่นี่ตรงเป็นแนว อย่างร่องสวน น่าจะอยู่หลักร้อยปีขึ้นไปที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ให้ สองตำบลรวมแล้วมีกว่า 60 กิโลเมตร ที่นี่น้ำจะขึ้นลงตลอด ตามข้างขึ้นข้างแรม ตามธรรมชาติ พื้นที่ถูกแบ่งในลักษณะร่องสวน ถ้าคิดทุกพื้นที่ของทั้งหมดนี้แล้วไม่น่าเกิน 5-7 ไร่จะสัมผัสกับคลองหมด ต้องมีด้านใดด้านหนึ่งสัมผัสกับคลอง เพื่อนำน้ำเข้า-ออก ทั้งสองตำบลไม่มีพื้นที่ใดที่ไม่มีคลอง"
ซึ่งเมื่อเปิดสวนพร่องน้ำออก น้ำจะแห้งถ้วนทั่วกันอย่างมหัศจรรย์ "คือความชาญฉลาดของบรรพบุรุษ ร่องสวนทุกร่องสวนเวลาเปิดจะแห้งทุกร่องทุกตารางนิ้ว" ไพบูลย์บอก
ไม่ต่างจากสุภาษิตไทยที่ว่า "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" เมื่อชาวบ้านใช้ชีวิตติดกับลำคลอง ย่อมต้องดูแลสายน้ำแห่งวิถีของพวกเขา ประเพณี 'ลงแขกลงคลอง' จึงถือกำเนิดขึ้น โดยไพบูลย์บอกว่าน่าจะเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 หรือก่อนนั้น โดยที่เมื่อก่อนจะกระทำกันในวาระสำคัญ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมราชินีนาถ ไม่ต้องทำบ่อยนักเพราะสภาพลำคลองยังดีอยู่
'ลงแขกลงคลอง' นั้นคล้าย 'ลงแขกเกี่ยวข้าว' ซึ่งเดิมทีเป็นประเพณีที่ชาวนายึดถือปฏิบัติกันมาช้านาน แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีให้เห็นแล้ว ที่ว่าคล้ายก็มีส่วนต่าง ต่างที่ลงแขกลงคลองคือการร่วมแรงกันทำความสะอาดคูคลองให้ปราศจากขยะและวัชพืช
"เมื่อก่อนการลงแขกลงคลองเป็นการกระทำของกลุ่มผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่ กรรมการหมู่บ้าน ผู้นำต่างๆ ถึงวันเทศกาลสำคัญๆ อย่าง 12 สิงหา หรือ 5 ธันวา ก็จะทำ ยุคนั้นยังไม่มีถนนมากมายแบบนี้ ตอนนั้นจะเน้นเรื่องตบแต่ง สมัยนั้นสาหร่าย วัชพืชยังไม่เยอะขนาดนี้" สมาชิกอบต.เจ้าเก่าเล่าต่อ
แต่แน่นอนว่าโลกหมุนไปทุกวัน ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่เว้นวิถีชาวบางคนที...
อาจเพราะไพบูลย์เติบโตที่นี่จึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของบางคนทีเสมอๆ ไม่ว่าจะความเจริญทางวัตถุ อาทิ ถนนหนทาง รถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นานา ทว่ากลับลดทอนบางอย่างของบางคนทีไปเสียสิ้น
ไพบูลย์เล่าว่าตั้งแต่มีถนน มีรถยนต์แล่นกันมากขึ้น ความสำคัญของคลองก็ลดลง โดยเฉพาะการสัญจรไปมา แต่ถึงแม้จะประสบปัญหาดังกล่าวก็ไม่เท่ากับพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กลายเป็นตลาด หาเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมบนพื้นที่สวนของตัวเองโดยแท้ได้น้อยยิ่งนัก
สำหรับพื้นที่บางคนทีก็ได้รับผลกระทบจากความเจริญเช่นกัน อาทิ ใช้เครื่องจักรขุดลอกคลองซึ่งเดิมทีบรรพบุรุษได้ปรับแต่งไว้อย่างเหมาะสมแล้วด้วยกำลังกาย กำลังใจ นั่นเท่ากับว่าสภาพก้นคลองแปรเปลี่ยนไปจนกระทั่งเป็นสาเหตุให้วัชพืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และขวางทางน้ำในที่สุด
"ถ้าอัตราไหลมันเท่าเก่า คือ น้ำยิ่งลงมากมันจะไหลแรง จะช่วยได้ และพิกัดของก้นคลองโดนเปลี่ยนแปลงเพราะใช้เครื่องจักรขุดลอก ถ้าใช้คนทำจะควบคุมอะไรๆ ได้ อย่างที่คนโบราณทำไว้ เวลาแห้งจะแห้งหมด เห็นเป็นร่องลาดเอียงไปเลย แต่พอใช้เครื่องจักร ตรงนี้เป็นหลุม ตรงนั้นเป็นบ่อ เกิดความลึก วัชพืชเหล่านี้ก็ชอบซะอีก เพราะใบไม้ใบหญ้ามาทับถม เป็นปุ๋ยอย่างดี รากของมัน ตรงไหนที่ขุด รากสาหร่ายยาวเมตรกว่าเกือบสองเมตร
ที่มันมีขึ้นเยอะเพราะธรรมชาติโดนเปลี่ยนแปลงไป เกิดถนน ลำคลองถูกบีบเข้ามา อัตราการไหลของน้ำช้าลงไป บางที่มีการขุดลอกโดยใช้เครื่องจักร มีการกั้นกระแสน้ำของเขตเมือง จากที่ไหลตามธรรมชาตินั้นดีอยู่แล้วก็น้อยลงไป การเจริญเติบโตของวัชพืชก็ไว" ไพบูลย์กล่าว
"ความเจริญเข้ามา มีถนนหนทาง คนหันมาใช้รถใช้ถนนกัน เมื่อก่อนสัญจรทางน้ำ แต่วัชพืชมันเกิดขึ้นเร็วมาก เกิดจากพอน้ำเค็มขึ้นก็ไปสร้างพนังกั้นด้านริมทะเล ถ้าเป็นธรรมชาติ น้ำจะไหลไปรวดเร็วมาก แต่นี่ระบบการไหลมันช้าลง"
เมื่อน้ำนิ่งเช่นนี้ สรรพสิ่งก็นิ่งตามน้ำ มีก็แต่วัชพืชที่เจริญเติบโตไม่หยุดหย่อน แต่ถึงอย่างไรวิถีบางคนทีก็คือวิถีบางคนที หลังจากประสบปัญหาไม่นานพวกเขาก็แลเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
"อบต.บางคนที และผู้ใหญ่ในชุมชน ในพื้นที่ทุกคน มาประชุมพร้อมกันว่าจะทำโครงการลงแขกลงคลอง ก็ตกลงกันว่าจะทำวันเสาร์แรกของเดือน สองตำบลนี้จะจับฉลากก่อนว่าจะลงตำบลไหนก่อน คือ ต.บางคนที กับ ต.ยายแพง" สนธยา สายทองคำอายุ 46 ปี ชาวบ้านผู้ร่วมงานลงแขกลงคลอง กล่าว
เมื่อรู้จุดเริ่มต้นแล้ว กระบวนการต่อไป คือหาสมัครพรรคพวกมาร่วมแรงร่วมใจกัน โดยประกาศเชิญชวนผ่านเสียงตามสายซึ่งมีอยู่ในทุกหมู่ มี 'ดีเดย์' คือวันที่ 3 มีนาคม 2555 ประเดิมลงแขกลงคลองอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
สนธยา บอกว่า "ประชาชนก็มีใจมาร่วมกันตลอด โดยที่บางครั้งไปทำงานได้ค่าแรง 300 บาท แต่พอมาช่วยก็ไม่เอาค่าแรงหรอก...มาช่วย"
สำหรับภารกิจใหญ่เช่นนี้ จำเป็นต้องมีผู้นำ และถือเป็นโชคดีที่ตรงกับสมัยของ เรณู เล็กนิมิตร เป็นนายก อบต.บางคนที ซึ่งชาวบ้านต่างรู้กันดีว่านายกคนนี้ 'ทำงาน'
นายกฯหญิงแห่งบางคนที เล่าว่าประเพณีลงแขกลงคลองเกือบจะหายสาบสูญไปแล้ว แต่ด้วยค่าที่เป็นประเพณีเก่าแก่ ทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องอย่างแท้จริง จึงต้องผลักดันให้ฟื้นฟูกลับมา
"เราฟื้นฟูขึ้นมาช่วยกันลงแขกลงคลองเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่เยาวชนรุ่นหลัง ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีเยาวชนรุ่นหลังสนุก ก็มาร่วมด้วย สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ โดยเราทำทุกวันเสาร์แรกของเดือน ก็มีความสุข"
ด้าน ไพบูลย์ เจริญสมบัติ ช่วยยืนยันว่าภาวะผู้นำของเรณูมีมาก เพราะไม่ว่าชาวบ้านจะทำอะไร นายกฯ ก็อาสาร่วมด้วยช่วยกัน ลงคลองก็ลงด้วยกัน
"ที่อยากสร้างเป็นรูปธรรม เพราะอยากให้คนรุ่นใหม่ได้มาสัมผัส มันต้องเริ่มจากกลุ่มผู้นำ กลุ่มผู้นำลงทำ ตอนนี้ก็ได้เด็กๆ ลงมาช่วยผู้หลักผู้ใหญ่"
แรกเริ่มที่รื้อฟื้นประเพณีนี้ มีชาวบ้านร่วมด้วยเพียงไม่กี่สิบคน แต่ผ่านไปราวสองสามหน จากไม่กี่สิบก็ขยับกลายเป็นเกือบร้อยคนแล้ว
นายกฯเรณู กล่าวว่า "ช่วงหลังนี่พอเขาเห็นผู้นำ เราจะวนไปทีละหมู่ 13 หมู่ ทีละหมู่ๆ ผู้นำทำแล้วก็จะมีประชาชนในพื้นที่ทำตาม เป็นการปลูกจิตสำนึกอย่างหนึ่ง เขาเห็นทำหมู่เขาก็กระดากใจ ก็มาช่วยกัน กลายเป็นความสนุก บางคนช่วยไม่ได้ก็ช่วยทำอาหาร ทำอาหารเลี้ยงกัน มีเด็กด้วย ถ้าคลองไหนมีกุ้งเยอะ เด็กไปด้วย จับกุ้งได้ทีก็หลายกิโล"
นอกจากช่วยเหลือกันเรื่องกำลังกายและเรื่องอาหารการกินแล้ว ทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต.บางคนทีและวัดวาอารามในพื้นที่ก็จัดแจงเรื่องหยูกยาเสร็จสรรพ เรียกได้ว่าตลอดระยะทางไม่น้อยกว่าเจ็ดกิโลเมตรของลำคลองแต่ละหมู่ที่ชาวบ้านลงแขก เปี่ยมด้วยมิตรจิตมิตรใจ
"ชาวบ้านไปทำอยู่หน้าร้านค้า ทำสิ่งปฏิกูล ผักตบ ขึ้นข้างบ้านเขา เขามีน้ำใจ เอาสิ่งต่างๆ เอาน้ำ เอาขนมมาให้ ช่วยเหลือกันดี"สนธยา สายทองคำ เล่าด้วยรอยยิ้ม
"ลงแขกลองคลองคือความร่วมมือกัน ถ้าเราไม่นำวัชพืชขึ้นมา มันเกิดได้เร็ว โตไวมาก กระแสน้ำจะช้าลงไป ด้านคุณค่า เราได้เห็นความสามัคคี เห็นใจซึ่งกันและกัน คุณมีน้ำใจมาช่วยหมู่ผมเต็มที่เลย ทั้งอุปกรณ์ ทั้งแรง ทั้งเงิน ทุกอย่าง มันเหมือนแขกกัน...
...นี่คือจุดหนึ่งที่ผมอยากให้ธรรมชาติของคนไทยกลับมาเป็นแบบนี้ กลับมาเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน" ไพบูลย์ กล่าวเสียงเหน่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น