อีกครั้งที่มีโอกาสเดินทางไปเยือนดินแดนที่มีความร่ำรวยของอารยธรรมอีสานใต้อย่าง จังหวัดอุบลราชธานี คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ฉันเคยมา เพราะตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่แวะในตัวเมือง แต่อยากมุ่งหน้าไปที่อำเภอโขงเจียมทันทีเพื่อใช้เวลาซึมซับบรรยากาศอันแสนสดชื่น ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ด้วยแอร์ธรรมชาติจากป่าเขา และชมวิถีชีวิตเรียบง่ายปราศจากการปรุงแต่งของคนลาวริมฝั่งโขงให้ได้มากที่สุด
ขณะที่นั่งรถตู้ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี ฉันก็เริ่มทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเมืองอุบลฯ ที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ เท่าที่จำได้คือเมืองอุบลฯ เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งของประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากว่า 200 ปี มีวัฒนธรรมเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม และกัมพูชามาช้านาน จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวหลายคนทราบกันดีคือ อุบลฯ ตั้งอยู่ริมสุดของภาคตะวันออกของประเทศไทยและเป็นจังหวัดแรกที่ได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นก่อนพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ จนเป็นที่มาของวลีที่ว่า 'เห็นตะวันก่อนใครในสยาม' ทั้งยังเป็นเมืองใหญ่ติดริมฝั่งแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง ที่สำคัญคืออุบลฯ มีประเพณีแห่เทียนพรรษาที่เป็น Original แท้ๆ ทั้งสวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยสัมผัสมา
-1-
หลังจากแรมทางมาครึ่งค่อนวัน เราก็หยุดพักเพื่อเติมพลังระหว่างวันด้วยอาหารอีสานรสแซบ พอทุกคนได้พักผ่อน ทำธุระส่วนตัว และเดินยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อยขบจากการนั่งรถ ความสดชื่นก็หวนคืนมาบนใบหน้าอีกครั้ง แต่ก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่โขงเจียม เราแวะไปที่ วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร เพื่อสักการะอัฐิธาตุของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ประชาชนทั่วไปให้ความเคารพนับถือว่าเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจริยวัตรอันงดงามตามแบบพระสุปฏิปันโนผู้มอบชีวิตทั้งหมดทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาพระธรรมและการปฏิบัติวิปัสสนากัมฐาน
วัดดอนธาตุ ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำมูลระหว่างบ้านทรายมูลและบ้านคันไร่ อยู่ห่างจากแก่งสะพือไปทางทิศตะวันออก 6 กม. ภายในพื้นที่ประมาณ 130 ไร่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติของหลวงปู่เสาร์เป็นอย่างมาก เพราะท่านเคยจำพรรษาที่นี่ก่อนจะย้ายไปจำพรรษาแห่งอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมถึงวัดอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ ที่ประเทศลาวด้วย
เราลงเรือขนาดเล็กเพื่อล่องข้ามแม่น้ำมูลไปยังเกาะดอนธาตุ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงฝั่ง เราเดินเข้ามาตามทางเดินที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อากาศในนี้เย็นสบายช่วยให้ลืมความร้อนอบอ้าวเมื่อสักครู่ไปได้มาก ในบริเวณนี้มีเจดีย์พิพิธภัณฑ์ตั้งตระหง่าน ภายในเจดีย์เป็นห้องโถงกว้างขวาง มีรูปจำลองและอัฐิธาตุของหลวงปู่ มีเวชนียสถานและเครื่องอัฐบริขารจัดแสดงไว้ให้ชม ใกล้ๆ กันมีกุฏิไม้จำลองของหลวงปู่เสาร์ตั้งอยู่เคียงคู่
ใช้เวลาที่นี่ไม่นานนัก เราก็ออกเดินทางต่อไปยังหมุดหมายที่ อ.โขงเจียม ซึ่งเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกสุดของอุบลราชธานี
ทันทีที่รถจอดเราทุกคนเร่งร้อนลงจากรถเพื่อไปเก็บภาพบรรยากาศที่งดงาม เบื้องหน้าคือแม่น้ำโขงซึ่งปีนี้แห้งขอดกว่าทุกปีจนมีแก่งหินโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา ล้อมกรอบด้วยป่าไม้สีเขียวเข้ม มีภูเขาหลายลูกเรียงสลับไกลออกไปสุดสายตาพร้อมท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง ฉันยืนมองวิวตรงหน้าอยู่นานเพื่อเก็บความทรงจำอันสวยงามนี้ไว้ในสายตาก่อนจะยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพเป็นที่ระลึก
โขงเจียมเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอุบลฯ เป็นเมืองที่มีความสงบเหมาะกับการพักผ่อน ภูมิประเทศเต็มไปด้วยป่าธรรมชาติที่หนาแน่น ทำให้มีของป่านานาชนิด เช่น เห็ด หน่อไม้ น้ำผึ้ง น้ำมันยาง น้ำมันสน และสัตว์ป่าต่างๆ อีกทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางนิเวศวิทยาที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ป่าคงหินทอง ป่าสงวนแห่งชาติหลังภู ป่าสงวนธรรมชาติภูหล่น และอุทยานแห่งชาติผาแต้ม รวมถึงมีทรัพยากรในแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ คือ มีปลาน้ำจืดมากถึง 140 ชนิด (ข้อมูลจากม.อุบลฯ เมื่อปี 2545) ปัจจุบันโขงเจียมขยายตัวขึ้นมาก มีการสร้างถนน ที่พัก ร้านค้า และร้านอาหารขึ้นมารองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-2-
เราเดินชมวิวเลาะริมโขงไปเรื่อยๆ ก่อนจะลงเรือเพื่อข้ามฝั่งไปชมวิถีชีวิตชาวลาวที่ บ้านใหม่สิงสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามกับโขงเจียม
ผศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์ นักวิชาการจากศูนย์วิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ข้อมูลกับเราว่า พื้นที่ระหว่างโขงเจียมและบ้านใหม่สิงสัมพันธ์ เป็นจุดผ่อนปรนที่ชาวบ้านของทั้งสองฝั่งข้ามไปมาหากันอยู่เสมอ โดยทางฝั่งลาวก็จะมีร้านค้าขายของจำพวกเครื่องดื่ม ขนม ข้าวของเครื่องใช้ ของป่า ผ้าซิ่นลาว รวมถึงสินค้าจากจีนหรือเวียดนามที่ราคาถูกมาขายให้กับนักท่องเที่ยวไทย ส่วนฝั่งไทยเองก็จะมีตลาดนัดที่ขายทั้งของกินของใช้ให้แก่คนลาวที่ข้ามฝั่งมาซื้อ
"บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าลาวนี่อยู่ไกลมาก แต่สำหรับชาวบ้านที่อยู่ตามตะเข็บชายแดนแบบนี้ เขามองว่าเส้นแบ่งชายแดนมันไม่ใช่การแบ่งจริงๆ เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่เชื่อมกันอยู่ ไปมาหากันง่ายมาก ไม่ต้องใช้พาสปอร์ต ไม่ต้องใช้บัตรผ่านแดน"
เราล่องเรือชมน้ำโขงไม่นานนักก็ถึงฝั่งลาว ทุกคนเดินชมหมู่บ้าน พร้อมเลือกชมเลือกซื้อสินค้ากันอย่างสนุกสนาน ตลาดของที่นี่ไม่ใหญ่มากนัก ร้านค้าส่วนใหญ่จะสร้างเป็นเพิงไม้อย่างง่ายๆ จัดวางสินค้าหลากหลาย ทั้งเสื้อผ้า ผ้าถุง ขนม แต่ที่เห็นคนเข้าไปมุงดูเยอะๆ คือพวกของป่า ทั้งน้ำมันเลียงผา เขี้ยวเสือ กล้วยไม้ป่า ดอกแคป่า เป็นต้น แม่ค้าที่นี่พูดคุยเก่ง สามารถสื่อสารภาษาไทยได้คล่องปรื๋อ แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ออกมาขายของช่วยผู้ใหญ่ด้วย
วันถัดมา เราเปลี่ยนบรรยากาศไปชมเมืองลาวที่ ด่านสิรินธร อ.ช่องเม็ก ซึ่งจุดนี้ต่างออกไปเพราะเป็นด่านถาวร การจะข้ามไปมานั้นต้องทำเอกสารผ่านแดน ทุกวันนี้คนไทยสามารถทำบัตรผ่านได้สะดวกรวดเร็ว ใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวเท่านั้น
จุดผ่านแดนไทย-ลาว แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสิรินธร ห่างจากตัวจังหวัด 90 กม. เป็นจุดเคลื่อนย้ายผู้คน สินค้า เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในอีสานตอนล่าง และเป็นจุดผ่านแดนเพียงจุดเดียวในภาคอีสานที่สามารถเดินทางไป สปป.ลาวโดยทางพื้นดิน ในขณะที่จุดอื่นๆ จะต้องข้ามลำน้ำโขง ทั้งสองฝั่งมีตลาดการค้าที่คึกคัก โดยฝั่งไทยเรียกว่าตลาดช่องเม็กส่วนฝั่งลาวเรียกว่าตลาดวังเตา
ในตลาดช่องเม็กเราเห็นชาวบ้านกำลังขนถ่ายสินค้าและลำเลียงไปส่งตามร้านค้าเล็กๆ ด้านใน เดินชมอยู่สักพักเราก็เคลื่อนขบวนเดินข้ามไปฝั่งลาว ซึ่งก็พบว่าตลาดวังเตามีการค้าที่คึกคักไม่แพ้กัน สินค้าส่วนมากเป็นของป่า นอกจากนั้นจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า ข้าวของเครื่องใช้ ที่คล้ายๆ กับที่บ้านใหม่สิงสัมพันธ์เพียงแต่ร้านค้ามีขนาดใหญ่กว่าและมีจำนวนมากกว่า รวมถึงมีร้านขายของปลอดภาษีด้วย
-3-
วันสุดท้ายของการเดินทาง เราอำลาความสวยงามของโขงเจียมและเพื่อนบ้านฝั่งลาวที่ช่องเม็ก แล้วมุ่งหน้าไปชมสินค้าท้องถิ่นของชาวอุบลฯ กันบ้าง
จุดหมายของเราคือ หมู่บ้านเรียงแถวใต้ ต.นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย อ.สิรินธร ที่นี่เป็นชุมชนที่เข้มแข็งอีกชุมชนหนึ่งที่น่าสนใจ มีการจัดตั้งกลุ่มอาชีพเสริมขึ้นมาถึง 10 กลุ่ม เพื่อผลิตสินค้าท้องถิ่น เช่น ขนมไทย ไม้ตีพริก น้ำสมุนไพร ขี้ไต้สมุนไพร ถ่านอัดแท่ง ปลาส้ม ปลาซิวกรอบ ฯลฯออกจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวและหมู่บ้านใกล้เคียง
ฉวีวรรณ์ อินเทียม นักวิจัยชุมชนบ้านเรียงแถวใต้ ตัวแทนจากกลุ่มผลิตขี้ไต้สมุนไพร เล่าว่า สินค้าชนิดนี้มีความโดดเด่น น่าสนใจ และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ก่อนจะมาเป็นสินค้าชนิดนี้เธอบอกว่านี่คือขยะที่ไม่มีค่า รอการกำจัดทิ้ง
"เนื่องจากหมู่บ้านเรามีการรวมตัวกันทำอาชีพเสริมหลายกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าพวกไม้ตีพริก เฟอร์นิเจอร์ ขนมไทย พวกนี้พอเสร็จกระบวนการผลิตจะมีเศษวัสดุพวกขี้เลื่อย เศษถ่าน เศษกะลามะพร้าว อยู่เยอะมาก เราก็ช่วยกันคิดหาทางกำจัดออกไป แต่พอดีมีอาจารย์จากทางม.อุบลฯ และนักวิจัยจากสกว. ได้เข้ามาให้ความรู้ว่าการเผากำจัดขยะเหล่านี้มันก่อให้เกิดมลพิษ ควรคิดหาทางเพิ่มมูลค่าให้มันดีกว่าจะทิ้งไปเฉยๆ เราก็เลยศึกษาและทำวิจัยร่วมกับม.อุบลฯ ก็เลยได้ไอเดียในการผลิตขี้ไต้สมุนไพรขึ้นมา"
ขี้ไต้ของที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นๆ เพราะมีการผสมคะไคร้หอม ผิวส้ม และผิวมะกรูดลงไปพร้อมกับน้ำมันยางทำให้จุดติดไฟง่าย ควันไม่เหม็น แถมยังไล่ยุงได้ด้วย ส่วนหีบห่อก็ออกแบบให้เล็กกะทัดรัดใช้งานได้สะดวก
"สินค้าของเราไม่ถึงขนาดว่าขายดี ทำรายได้เยอะๆ แต่มันเป็นการเอาเศษวัสดุของเหลือๆ ที่เราคิดว่าจะทิ้ง พลิกเอามาทำเป็นของใช้มีประโยชน์ได้ และขายได้ด้วย มันก็ไม่สูญเปล่า ซึ่งตรงนี้เราภูมิใจที่เราทำได้"
ได้เห็นความสุขระบายอยู่บนใบหน้าของชาวบ้าน ก็ทำเอาคนต่างถิ่นอย่างเราพลอยยิ้มตามไปด้วย เพราะเห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและพึ่งพาตนเองทำให้พวกเขายืนอยู่ได้อย่างมั่นคง เกิดการสร้างงานในชุมชน ไม่ต้องไปดิ้นรนหางานทำต่างถิ่น ครอบครัวก็อบอุ่นและใกล้ชิดกันมากกว่าคนในสังคมเมือง
ก่อนกลับกรุงเทพฯ เราอุดหนุนสินค้าท้องถิ่นกันคนละนิดคนละหน่อย แถมท้ายด้วยการแวะเข้าตัวเมืองอุบลฯ เพื่อซื้อของฝากขึ้นชื่ออย่าง หมูยอ แหนม และเส้นก๋วยจั๊บญวนแห้ง ก่อนจะโบกมือลาเมืองที่อบอุ่นแห่งนี้ไปด้วยความประทับใจ
--------------------
การเดินทาง
หากเดินทางโดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ สามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางแรกใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จนถึงจังหวัดสระบุรี แยกขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ไปจนถึงจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นแยกใช้ทางหลวงหมายเลข 226 ผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ ไปจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี เส้นทางที่สองใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จนถึงจังหวัดสระบุรี แยกขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ไปจนถึงอำเภอสีคิ้ว แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 24 (โชคชัย-เดชอุดม) ผ่านอำเภอโชคชัย อำเภอนางรอง อำเภอสังขะ อำเภอเดชอุดม ไปจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี
โดยรถประจำทาง มีรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ-โขงเจียม ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490
โดยเครื่องบิน มีสายการบินนกแอร์ที่มีเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-อุบลราชธานี ทุกวัน สอบถามข้อมูลการเดินทาง ตารางเที่ยวบิน และสำรองที่นั่งได้ที่ www.nokair.com หรือที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1318
เมื่อถึงอุบลราชธานีแล้ว สามารถเดินทางไปในตัวจังหวัดอุบลราชธานี มีรถชนิดต่างๆ ให้บริการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม มีรถสองแถววิ่งบริการจากสถานีขนส่งไปยังที่ต่างๆ ในตัวเมือง หรือเหมารถสองแถวไปเที่ยวได้ทั้งในเมืองและต่างอำเภอ คิดราคาวันละ 1,000-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางและการต่อรอง มีรถสามล้อเครื่องและมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จอดอยู่ตามจุดต่างๆ ในจังหวัด เช่น หน้าตลาดเทศบาล หน้าสถานีขนส่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น