วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อุ่นใจ ไป ตาก



แม้จะรู้ดีว่านี่คือกลุ่มละอองน้ำที่ถูกกลั่นและลอยอยู่ใกล้ชั้นบรรยากาศของโลก แต่ความงดงามที่ปรากฏก็ช่วยปลุกเร้าจินตนาการให้นึกไปไกลถึงสวนสวรรค์ในตำนานเทพนิยายโน่นเลยทีเดียว
"ฤดูหนาวอันแสนนาน" หนึ่งในหนังสือชุด "บ้านเล็ก" ของ ลอร่า อิงกัลล์ส ไวล์เดอร์ เอ่ยถึงความเหน็บหนาวที่โบยตีผู้คนจนล้มตายไปจำนวนมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนที่อยู่ในเขตอบอุ่นอย่างเราเกรงกลัว ในทางกลับกัน เราต่างอ้าแขนต้อนรับไอละอองแห่งความเย็นที่จะพัดผ่านมาเพียงปีละครั้งนั้นอย่างเบิกบานสุขใจ
และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไม เมื่อฤดูหนาวเริ่มต้น ผู้คนจึงต้องออกเดินทาง

ฉันนั่งอยู่บนขอนไม้เล็กๆ เฝ้าดูการเคลื่อนที่ของมวลหยดน้ำขนาดใหญ่ที่อัดแน่นจนกลายเป็นทะเลหมอกอยู่บน ม่อนครูบาใส ภายใน อุทยานแห่งชาติแม่เมย อำเภอท่าสองยางจังหวัดตาก แดดยามสายไล่ความเหน็บหนาวให้จากพวกเราไปเร็วมาก ไม่ใช่สิ เอาจริงๆ เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกับความเยือกเย็นที่ว่านั้นเลยด้วยซ้ำ
กลางเดือนพฤศจิกายน ความจริงน่าจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว คิดอย่างนั้นฉันจึงกระโจนเข้าใส่หมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตาก เชื้อเชิญมา เพราะว่าอยากสัมผัสไอหนาวเต็มทน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะสภาพอากาศไม่ต่างจากเมืองหลวงเท่าไรนัก จะน่าอภิรมย์กว่าบ้างก็ตรงที่ไม่มีควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์และโรงงานเท่านั้น
อย่าคิดว่าความผิดหวังที่ฉันได้รับจากสภาพอากาศจะทำให้ทริปนี้หมดสนุก อากาศร้อนๆ นี่แหละดี เพราะมันทำให้ฉันตัดสินใจเดินลงไปในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธารน้ำใสทันทีแบบไม่ต้องกลัวความหนาวเย็น แน่นอนว่า มันชื่นฉ่ำดีทีเดียว
ตาก เป็นอีกจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยที่ฉันเดินทางไปกี่ครั้งก็ยังเที่ยวไม่ทั่ว ด้วยเพราะสภาพภูมิประเทศที่ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งแหล่งท่องเที่ยวก็ยังหลากหลาย ทั้งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ไหนจะประเพณีดีงามน่ารักอีกหลายอย่าง แต่ละครั้งที่มาจึงต้อง "เลือกเส้นทางเดิน" ให้ชัดเจน
ครั้งนี้จุดหมายปลายทางของเราออกจะมีหลายแห่ง แต่รวมอยู่ในเส้นทางเดียวกัน นั่นก็คือ ถนนเลียบเลาะชายแดนตะวันตกของตาก โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ "พบพระ" อำเภอสุดโรแมนติกที่มีดอกไม้วันวาเลนไทน์ปลูกอยู่นับพันนับหมื่นไร่ แต่มากกว่าดอกไม้สีแดง เมืองที่เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำเมยแห่งนี้ยังมีธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ใจที่รอต้อนรับผู้มาเยือนอยู่อีกหลายแห่ง
หนึ่งในนั้นคือ น้ำตกป่าหวาย ที่ตั้งอยู่ใน อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ แรกที่ได้ยินชื่อก็ยังเฉยๆ ไม่คิดว่าจะมีความพิเศษอะไร ก็น่าจะเป็นแค่น้ำตกที่รถยนต์เข้าถึงได้ เดินไม่กี่ก้าวเท้าก็จุ่มน้ำ แต่...ฉันคิดผิดถนัด
น้ำตกป่าหวาย เป็นน้ำตกที่เกิดจากห้วยหวาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำอุ้มเปี้ยม ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นแคบๆ มีจำนวนมากกว่า 100 ชั้น จริงๆ ไม่มีใครนับไว้หรอก เพียงแต่เปรียบเปรยว่ามีมากมายนั่นเอง ซึ่งโอกาสที่จะเห็นน้ำตกป่าหวายในมุมที่สวยที่สุดได้นั้น คุณต้องเดิน เดิน และเดิน โดยผ่าน "น้ำตกพิศวง" หรือที่ เน้ง แซ่กือ ไกด์ท้องถิ่นชาวม้ง เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า "ถ้ำนรก" เสียก่อน
"เมื่อก่อนเขาเรียกถ้ำนรก เพราะว่าสมัยคอมมิวนิสต์เขาเอาคนตายมาโยนทิ้งที่นี่ แล้วที่เรียกน้ำตกพิศวงเพราะว่ามองลงไปแล้วเหมือนไม่มีทางออก ผมเคยโรยตัวลงไปใช้เชือกยาว 20 วา ยังไปไม่สุดทางเลย ข้างล่างเป็นถ้ำค้างคาวเยอะมาก เคยมีคนเจอกระดูกงูใหญ่อยู่ในถ้ำด้วย แต่ตอนผมไปไม่เจอแล้ว" เน้ง เล่า
ถึงจะอยากพิสูจน์ แต่ฉันคงไม่เสี่ยงเข้าไปในเวลานี้แน่ๆ เลยเลี่ยงเดินไปอีกทางซึ่งเป็นจุดที่มีถ้ำอยู่ขอบทางเดิน ไม่ว่าจะเป็นถ้ำค้างคาว ถ้ำหนู ถ้ำเจ้าบ่าว ถ้ำเจ้าสาว ถ้ำเม่น ล่วงเลยไปจนถึงต้นกระบากใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่กลางป่า ว่ากันว่าต้องใช้คนจำนวนมากถึง 20 คน กว่าจะโอบต้นไม้ต้นนี้ได้รอบ แต่สมาชิกที่เดินทางมาด้วยมีไม่ถึง เราจึงเดินต่อไปเพื่อพิสูจน์ความสวยงามของน้ำตกป่าหวาย และก็ไม่ผิดหวัง น้ำตกแห่งนั้นไหลลงมาตามหินปูนที่ลดหลั่นเป็นชั้นย่อยๆ น้อยใหญ่ แทรกพร้อมไปด้วยลำต้นอันแข็งแรงของต้นไม้ ทำให้ภาพๆ นั้นติดตรึงอยู่ในหัวใจของผู้พบเห็นได้ไม่อยาก
ฉันพับขากางเกงขึ้นมาเสมอเข่า แล้วเปลือยเท้าเปล่าเดินเข้าไปสัมผัสธารใสเย็นนั้นอย่างสบายอารมณ์ และก็ทำแบบเดียวกันนี้อีกครั้งเมื่อเดินทางมายัง น้ำตกพาเจริญ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ปีก่อนฉันเคยมาที่น้ำตกพาเจริญครั้งหนึ่ง ตอนนั้นดอกกระเจียวสีส้มยังเบ่งบานเป็นลานกว้าง แต่ถึงเราจะมาไม่ทันดอกกระเจียวบานในปีนี้ แต่สภาพแวดล้อมที่ยังคงเป็นป่ารกทึบ มีเด็กๆ ชนเผ่ามาวิ่งแก้ผ้าเล่นน้ำ ก็เป็นภาพที่ทำให้เราประทับใจได้ไม่แพ้กัน
เย็นวันนั้นเรามีโอกาสเดินทางไปร่วมมื้ออาหารเย็นกับพี่น้องชาวไทยเชื้อสายม้งที่ บ้านป่าคาใหม่ ที่ตั้งอยู่ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ ที่นี่เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่จัดการกันเองโดยคนในชุมชน
สุรินทร์ ติเพียร ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานตาก ที่เดินทางไปกับเราตลอดทริป บอกว่า พบพระเป็นอำเภอที่อุดมไปด้วยวิถีแห่งเกษตร นอกจากุหลาบแล้วก็ยังมีกล้วยไข่ที่ขึ้นชื่อมาก จึงคิดว่าน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้ และเมื่อมาถึงบ้านป่าคาใหม่ ก็พบว่าที่นี่มีของดีเด็ดอีกหลายอย่างที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชม
"พันธุ์ข้าวลืมผัว มันกำเนิดที่อำเภอพบพระที่มีสภาพดินที่ดี สภาพภูมิอากาสเหมาะสม ซึ่งเกื้อหนุนกันจนทำให้ได้ข้าวพันธุ์ที่ดีที่สุดพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเมื่อหุงไปแล้วจะอร่อยมาก นอกจากนี้ก็ยังมีผ้าใยกัญชง ชาวม้งที่นี่ยังทอใช้กันอยู่ และจะใส่ในวันที่มีงานสำคัญๆ ส่วนเรื่องภูมิปัญญาการตีมีด ที่นี่ถือว่ามีมีดที่คมที่สุด นี่คือจุดเด่นของบ้านป่าคาใหม่ที่อยากให้นักท่องเที่ยวมาชม"
ก่อนอาหารเย็น เรามีโอกาสได้ชมการแสดงสวยๆ งามๆ และการเป่าแคนม้ง หรือ "ฉูเก้" จาก ลีเซอ แซ่ย่าง ศิลปินชาวม้งด้วย ความครึกครื้นในเย็นวันนั้นทำให้สมาชิกหลายคนในคณะถึงกับประทับใจไม่รู้ลืม โดยเฉพาะธรรมเนียมการต้อนรับกับเหล้า(ข้าวโพด) 3 จอก 1 เขาวัว ที่เล่นเอามึนหัวไปตามๆ กัน และดูเหมือนว่าวันนั้นจะไม่มีเพื่อนสมาชิกคนไหนอยากขัดขืนฝืนธรรมเนียมการต้อนรับกันแม้แต่คนเดียว
"เม่งค่ะ(หมดแก้ว)" จันทมณี โลหะเวช หรือ พี่แมว ที่เป็นผู้ริเริ่มโครงการท่องเที่ยวชุมชนบ้านป่าคาใหม่คะยั้นคะยอ เธอว่า ธรรมเนียมของชาวม้งหากคนในชุมชนส่งเหล้าให้ใครแล้วคนนั้นต้องดื่มให้หมด โดยเฉพาะเหล้าที่อยู่ในเขาวัว ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่ให้เกียรติกัน เดาได้ใช่ไหมว่า ฉันต้องทำอย่างไร
แม้ว่าดีกรีความร้อนแรงของสุราพื้นบ้านกับการเข้าไปสัมผัสไออุ่นของ บ่อน้ำร้อนห้วยน้ำนัก ดูจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องเดินทางไปพิสูจน์
บ่อน้ำร้อนที่ว่าอยู่ในเขตบ้านห้วยน้ำนัก อำเภอพบพระ บางคนก็เรียกว่า "ออนเซนเมืองตาก" เพราะมีบ่อน้ำร้อนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปแช่ได้คล้ายๆ ออนเซนที่ญี่ปุ่น แต่ราคาถูกกว่ามาก ผอ.สุรินทร์ บอกว่า ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนหลายบ่อ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 60 องศา โดยบ่อใหญ่สุดอยู่บนเนินเขาสูงห่างออกไป 2.5 กิโลเมตร เราเดินขึ้นไปชมโดยใช้เวลาชั่วโมงเศษๆ ก็พบว่า น้ำร้อนที่นี่ไม่มีกลิ่นกำมะถัน แถมยังใสสะอาดมากๆ จึงมีผู้ผลิตน้ำแร่ยี่ห้อหนึ่งเข้ามาทำสัญญาผลิตน้ำแร่จำหน่ายจนโด่งดังไปทั่วประเทศ
เราใช้เวลา 2 วันท่องเที่ยวอยู่ในอำเภอพบพระ ก่อนจะเดินทางกลับมาที่อำเภอแม่สอด เพื่อแวะนมัสการ "หลวงพ่อทันใจ" ที่อยู่ใน วัดไทยสามัคคี ตำบลแม่กาษา อำเภอแม่สอด และสรีระที่ไม่เน่าเปื่อยของ "หลวงพ่อครูบากัญไชย กาญจโน" เทพเจ้านักบุญแห่งลุ่มน้ำเมย ณ วัดมาตานุสรณ์ บ้านแม่กื้ดหลวง อำเภอแม่สอด ก่อนจะใช้ทางหลวงหมายเลข 105 นำทางไปสู่อำเภอท่าสองยาง โดยมีปลายทางอยู่ที่ "อุทยานแห่งชาติแม่เมย"
"โรงละครใต้พิภพ" คือคำอธิบายสวยหรูที่ผู้อำนวยการ ททท. ใช้อธิบายถึง ถ้ำแม่อุสุ ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ที่มีลำน้ำแม่อุสุไหลลอดเข้าไปตลอดเส้นทาง แม้จะมั่นใจในคำโฆษณาว่าคงไม่กล่าวอ้างเกินจริง แต่เมื่อเดินทางมาถึงแล้วก็ต้องเข้าไปพิสูจน์กันหน่อย
น้ำในถ้ำช่วงเดือนพฤศจิกายนถือว่ายังมากอยู่ กางเกงขาสั้นที่เตรียมไว้จึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรเพราะน้ำลึกขึ้นไปจนถึงเอว ไม่ผิดหวัง นี่มัน unseen ชัดๆ ภายในถ้ำขนาดกว้าง 3 ถ้ำนั้น โดดเด่นไปด้วยหินงอกหินย้อยรูปลักษณ์ต่างๆ ที่ดูแปลกตา ราวกับโรงละครอันงดงามก็ไม่ปาน โดยเฉพาะเมื่อยามที่มีแสงตะวันพาดผ่าน จะมองเห็นศิลปกรรมภายในถ้ำที่สะท้อนเงาแสงนั้นเป็นประกายระยิบระยับ
สองชั่วโมงดูเหมือนเนิ่นนาน แต่มันสั้นเหลือเกินสำหรับการเสพสัมผัสนิทรรศการทางธรรมชาติอันงดงามที่จัดแสดงอยู่ภายในถ้ำ แต่เราต้องเคลื่อนย้ายตัวเองออกไปให้ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่เมย ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร ก่อนที่ความมืดแห่งราตรีกาลจะมาเยือน
อากาศเย็นลงนิดๆ ย้ำว่าแค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะปีนี้หนาวช้าเหลือเกิน แต่เมื่อพกเสื้อกันหนาวมาด้วยแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม ดวงดาวระยิบพราวบนท้องฟ้าช่วยให้ค่ำคืนอันมืดมิดกลางป่าดูน่าอภิรมย์มากขึ้น พี่น้องช่างภาพหลายคนจัดแจงหาลานโล่งๆ แล้วตั้งกล้องบันทึกภาพดวงดาว จากนั้นเรื่องราวโรแมนติกบนท้องฟ้าก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพถ่ายที่สวยงามจับใจ
ก่อนฟ้าสางของวันใหม่ เหล่าบรรดา "นักล่าตะวัน" ทั้งหลายพร้อมใจกันลืมตาตื่นเพื่อเร่งเดินทางขึ้นไปที่ ม่อนกิ่วลม ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างใช้ขาตั้งกล้องขนาดใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับจองพื้นที่ ฉันนั่งมองพฤติกรรมของช่างภาพเหล่านั้นพร้อมอมยิ้มเล็กๆ เพราะที่ม่อนกิ่วลมมีมุมที่สวยที่สุดอยู่แค่นิดเดียว แต่ช่างภาพทุกคนก็แบ่งปันมุมเล็กๆ นั้นให้กันอย่างน่ารัก ถือเป็นภาพประทับใจจากการเดินทางทริปนี้เลยก็ว่าได้
ละเอียด นุ่ม เย็น สบาย คือคำที่ฉันใช้นิยามถึงทะเลหมอกสีขาวใส และตอนนี้ไอละอองที่ดูคล้ายฟองวิปครีมเบื้องหน้านั้น มันทำให้ฉันรู้สึกหิวชะมัด
การเดินทาง
จังหวัดตากอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 426 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 5 ชั่วโมง โดยใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 32 ถนนเอเชียวิ่งผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1 อีกครั้ง ผ่านกำแพงเพชร ก่อนจะถึง จ.ตาก แต่แหล่งท่องเที่ยวที่กล่าวถึงคราวนี้ไม่ได้อยู่ใน อ.เมือง หากแต่อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก การเดินทางจึงไม่ได้จบอยู่แค่ตัวเมืองตาก(จะเที่ยวในเมืองก่อนก็ได้ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง) นักท่องเที่ยวต้องใช้ทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่ อ.แม่สอด ที่อยู่ห่างออกไปอีก 86 กิโลเมตร เมื่อถึงแล้วก็เลือกปลายทางที่ต้องการไปเที่ยวได้ตามสะดวก หากเลือกพบพระให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1090 (แม่สอด-อุ้มผาง) แต่ถ้าต้องการไปอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง แนะนำให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 (แม่สอด-แม่สะเรียง) สะดวกที่สุด
สอบถามรายละเอียดการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตาก โทรศัพท์ 0 5551 4341-3 หรือ www.facebook.com/taktravel

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น