วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปีนัง เมืองศิลปะ



ฉันไปเยือนปีนังก็ด้วยเหตุผลว่าต้องการชื่นชมสมบัติอันเลอค่าของมวลมนุษยชาติแห่งนี้สักครั้ง แม้จะเคยเลียบเลาะ "มะละกา" ที่เป็นเมืองมรดกโลกคู่แฝดกับ "จอร์จทาวน์" ของปีนังมาก่อน แต่เมื่อได้สัมผัสพื้นที่จริงทั้ง 2 แห่งแล้ว ความรู้สึกต่างกันลิบลับ

มะละกาจัดจ้านด้วยการเป็นเมืองท่าเศรษฐกิจการค้าอันแข็งแกร่ง ทว่า ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติที่ถูกถ่ายทอดผ่านโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ก็ทำให้ทุกคนสามารถย้อนกลับไปนึกถึงภาพอดีตที่รุ่งโรจน์ของมะละกาได้ ในขณะที่ปีนังนั้นขรึมขลังไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ วิถีชีวิตประจำวันที่ดำรงอยู่ของชาวบ้าน มองๆ ไปคล้ายกับฉากชีวิตที่ฉายภาพอดีตเมื่อเกือบ 200 ปีก่อนชัดเจน

ง่ายๆ คือ ในความรู้สึกฉัน(อาจจะไม่เหมือนกับทุกคนก็ได้) ปีนังไม่คึกคักเท่ามะละกาที่เป็นเมืองท่าในความรับรู้ของคนทั้งโลก สังคมของคนปีนังค่อนไปในทางสงบ เงียบ และเรียบนิ่ง แต่ทุกสิ่งอยู่ภายใต้ทิศทางของลมแห่งการพัฒนา
ว่ากันว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ก่อให้เกิดปัญหาในห่วงโซ่การผลิต บริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายเริ่มกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปในพื้นที่อื่นของเอเชีย แน่นอนว่า ปีนังของมาเลเซียถูกเล็งไว้เป็นพื้นที่แรกๆ ด้วยเหตุผลด้านการคมนาคมที่สะดวกสบาย

แม้วันนี้จะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับปีนัง แต่ภาพแห่งความงดงามในอดีตยังฝังอยู่ในวิถีชีวิตของคนปีนังทุกคน ไม่เชื่อก็ต้องลองไปค้นหากันดู

ใครๆ ก็ไปเรียนที่ปีนัง นั่นเป็นความรับรู้ของฉันที่มีต่อเกาะปีนังในอดีต ไม่ว่าจะเป็นลูกพ่อค้า ข้าราชการ หรือเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายต่างก็นิยมไปเรียนภาษาอังกฤษที่ปีนังกันทั้งนั้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะปีนังเคยตกเป็นเมืองในอาณานิคมของอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2375 ทำให้คนไทยนิยมไปเรียนภาษากับครูชาวอังกฤษที่ปีนัง

ฮอตฮิตขนาดไหน ก็ขนาดที่มีรถไฟสายกรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวิร์ธ(ปีนัง) ให้บริการทุกวันเลยนั่นแหละ(อันนี้มาทีหลังแต่ยังได้รับความนิยม) ทุกวันนี้ก็ยังมีคนไทยบางส่วนนิยมไปเรียน โดยเฉพาะชาวไทยภาคใต้ เพราะเดินทางง่ายกว่าขึ้นมาที่เมืองหลวงกรุงเทพฯ มาก

ฉันไม่ได้ใช้บริการรถไฟ แม้จะได้ชื่อว่าราคาถูก ปลอดภัย แต่สายการบินดีๆ เดี๋ยวนี้ก็มีบริการแบบที่ว่านั้นครบครัน แถมย่นระยะเวลาในการเดินทางไปได้มากโข เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เกาะปีนังก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

ปีนัง เป็น 1 ใน 13 รัฐ ที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธรัฐมาเลเซีย อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมาเลเซีย รัฐปีนังมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่เรียกว่า “เซอเบอรัง ไปร์” (จังหวัดเวลเลสเล่ย์) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธ ที่เป็นเขตอุตสาหกรรมและศูนย์กลางการคมนาคมของรัฐ อีกส่วนเป็นเกาะ เรียกว่า เกาะปีนัง หรือเกาะหมาก เป็นฝั่งที่มีสถาปัตยกรรมโบราณจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยทั้ง 2 ส่วนนี้ถูกคั่นด้วยช่องแคบ หากจะเดินทางจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะต้องใช้สะพานปีนัง ที่มีระยะทางยาว 13.5 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในเอเชีย และยาวเป็นอันดับ 4 ของโลก หรือใช้บริการเรือข้ามฟากก็ได้

ปรารถนาแรกที่ต้องการมาเยือนปีนังนั่นคือการไปชม จอร์จ ทาวน์ (George Town) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะปีนัง นอกจากดำรงฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐปีนังแล้ว จอร์จ ทาวน์ ยังเป็นเมืองมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2551 คู่กับเมืองมะละกาของมาเลเซียด้วย

เหตุผลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกคงอยู่ที่การอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนในยุคต่างๆ ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอาคารโคโลเนียลสไตล์ชิโน-โปรตุกิส ศิลปะแบบอังกฤษและโปรตุเกสที่ได้รับความนิยมมากในยุคอาณานิคม

ตักตวงความรู้ก่อนออกเดินทางด้วยการเข้าไปศึกษาข้อมูลที่อยู่ภายในสำนักงาน George Town World Herritage INC. ที่ตั้งอยู่บนถนน Lebuh Carnarvon ภายในมีนิทรรศการที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของอาคารในยุคต่างๆ ให้ได้ชม ที่เห็นอย่างน้อยๆ ก็มีรูปแบบอาคารที่แตกต่างกันราว 6 ยุค ซึ่งสิ่งที่ทำให้แตกต่างกันแต่ละยุคเห็นจะเป็นเรื่องวัสดุในการมุงหลังคา การออกแบบหน้าต่าง ประตู การเลือกใช้วัสดุตกแต่ง หรือแม้การจัดสรรสัดส่วนของบ้านตามการใช้สอย เรียกว่า แค่เดินดูบ้านโบราณให้ครบทุกยุคก็สนุกแล้ว

แผนที่ที่ได้รับจาก ยูน พอลลีน(Yoon Pauline) เจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวปีนัง (Penang Global Tourism) ช่วยให้การเดินทางของฉันง่ายขึ้นเยอะ ยอมรับว่าในช่วงแรกก็ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะท่องเมืองปีนังอย่างไรให้ครบถ้วน เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดเมืองหนึ่งของมาเลเซีย มีสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิคให้ได้ชม สามารถเดิน นั่งรถสามล้อ หรือปั่นจักรยานชมก็ได้ แต่ก็น่าจะใช้เวลาราว 2-3 วันกว่าจะรอบ นอกจากนี้ปีนังยังเป็น "เมืองหลวงแห่งอาหาร" ที่ได้รับการันตีจากสื่อทุกสำนักในมาเลเซียว่า อาหารที่ดีและหลากหลายที่สุดอยู่ที่นี่ แต่พอฉันดึงแผนที่แผ่นเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ใต้สุดขึ้นมาก็พบว่า นี่แหละคือทางที่ฉันควรเลือก

Street Art in George Town เป็นคู่มือเล่มเล็กๆ ที่ช่วยให้การชมเมืองมรดกโลกแห่งนี้ดูรื่นรมย์ขึ้น คือแทนที่เราจะเดินชมเมืองจอร์จ ทาวน์ แบบไม่รู้จุดจบ เพราะมีทั้งเขตเมืองก่าและเมืองใหม่ แผนที่สตรีท อาร์ต เล่มนี้ช่วยตัดสินใจให้ได้เยอะ โดยย่อเส้นทางให้เราเข้าไปชมเฉพาะโซนโบราณเพียงโซนเดียว เริ่มตั้งแต่สำนักงานมรดกโลกจอร์จ ทาวน์ บนถนน Lebuh Carnarvon แล้วเดินเลาะมาทางถนน Lebuh Acheh เพียง 100 เมตรจะพบทางแยกซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายมาเรื่อยๆ จากจุดนี้จะพบอาคารโบราณแบบต่างๆ รวมถึงบ้านที่เคยเป็นที่พำนักของผู้นำในการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนอย่าง ดร.ซุน ยัด เซ็น

ที่พำนักของท่านเป็นตึกแถวสองชั้นเล็กๆ หากไม่สังเกตก็จะไม่รู้เลยว่าที่นี่เป็นบ้านของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ดร.ซุน ยัด เซ็น ให้เข้าชมได้เฉพาะชั้น 1 ของบ้าน จากภาพยนตร์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมจะได้รู้ประวัติเกี่ยวกับการมาปีนังของ ดร.ซุน ยัด เซ็น จะว่าไปท่านเดินทางไปหลายประเทศ แต่เลือกปีนังเป็นแหล่งระดมทุนเพื่อใช้ในการปฏิวัติ และร่องรอยประวัติศาสตร์ก็ฉายฉาบผ่านห้องสมุดเล็กๆ ที่มีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมการเมือง ให้นักท่องเที่ยวได้อ่าน และสามารถซื้อกลับไปศึกษาต่อได้ด้วย

จากบ้าน ดร.ซุน ยัด เซ็น เดินไปตามถนนเส้นเล็กๆ แนะนำว่าให้สังเกตแผ่นกระเบื้อง บานหน้าต่าง หรือแม้แต่ "ผีเสื้อ" ที่เป็นช่องระบายลมของบ้านแต่ละหลัง จะช่วยให้การชมสถาปัตยกรรมโบราณสนุกขึ้น

แน่นอนว่า อย่าลืมสังเกตผลงานศิลปะที่แทรกซ่อนอยู่ตามช่องแคบ ชายคา หรือกำแพงบ้านแต่ละหลังด้วย เพราะนี่เป็นภาพสะท้อนที่ดีที่จะทำให้เราได้รู้จักปีนังในอดีตได้อย่างละเอียด โดยผลงานศิลปะเหล่านี้มีทั้งภาพวาด และศิลปะเหล็กดัด เป็นภาพล้อเลียนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งสำคัญต่างๆ ในย่านนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

อย่างภาพ Procession บนถนน Lebuh Armenian แสดงถึงเทศกาลแห่งเสือที่เป็นประเพณีของชาวปีนังในการปลดเปลื้องเรื่องเลวร้ายออกไปจากชุมชน นำความร่ำรวยและสุขภาพดีเข้ามาในชีวิต หรือภาพ Labourer to Trader หรือจากแรงงานถึงพ่อค้า บนถนน Kuala Kangsar เป็นการสะท้อนวิถีชีวิตของชนชั้นแรงงานที่ขยันขันแข็งจนวันหนึ่งขยับตัวขึ้นมาเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจที่มีหน้ามีตาในสังคมได้

บนถนน Masjid Kapitan Keling มีภาพ Bullock Cart Wheel หรือวัวเทียมเกวียน ที่เป็นเสมือนรถลิมูซีนในอดีต ซึ่งผลงานศิลปะจากเหล็กดัดนี้มีทั้งหมด 24 แห่ง ตาดีๆ ก็ลองหากันดู ส่วนภาพวาดนั้นเป็นผลงานของ Ernest Zacharevic ศิลปินชาวลิทัวเนียที่มีโอกาสมาเยือนปีนังในช่วงสั้นๆ แต่ได้ทิ้งผลงานศิลปะบนกำแพงไว้ให้ทุกคนได้ชื่นชมกันจนกลายเป็นสีสันใหม่แห่งการท่องเที่ยวปีนัง

ภาพเด่นๆ ของ Ernest น่าจะเป็นภาพ Kids on Bicycle ที่ตั้งอยู่บนถนน Lebuh Armenian ภาพ Old Motorcycle บนถนน Lebuh Ah Quee หรือภาพ Kungfu Girl บนถนน Lebuh Muntri และอีกหลายๆ ภาพที่น่าชม

เรียกว่า ถ้าเดินจนครบตามแผนที่กำหนดก็เท่ากับมาเที่ยวปีนังอย่างครบถ้วนและคุ้มค่าที่สุดเลยทีเดียว

ระหว่างค้นหาผลงานศิลปะที่แทรกอยู่ตามจุดต่างๆ ฉันพบร้านน่านั่ง 1 แห่ง นั่นก็คือ China House ที่นี่เป็นทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ แกลอรี่ โรงหนัง และร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก อยู่ภายใต้อาคารที่เป็นตึกแถวโบราณอายุกว่า 100 ปีเพียงล็อคเดียว อยู่ในนี้ได้เพลิดเพลินทั้งอาหารกายและอาหารตา เพราะมีทั้งอาหาร ของว่าง เครื่องดื่ม และนิทรรศการศิลปะผลัดเปลี่ยนให้ชมอยู่บนชั้น 2

ตกบ่ายเติมพลังด้วย Char Koay Teow คล้ายๆ ผัดไทยบ้านเรา กับ Cendol ขนมหวานคล้ายลอดช่องในร้านเล็กๆ ข้างทางเสร็จแล้วก็เดินทางต่อ จนไปพบกับสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่สะท้อนภาพอดีตของปีนังได้ดี นั่นก็คือ Pinang Paranakan Mansionบ้านคหบดีชาวจีนที่มาตั้งรกรากในปีนังจนกลายเป็นชาวพื้นเมืองที่เรียกว่า Baba-Nyonya ฉันซื้อตั๋วแล้วเข้าไปชมบ้านหลังนั้นด้วยอาการตื่นตะลึง ลักษณะเป็นบ้านตึก 2 ชั้นที่ผสมผสานวัฒนธรรมจีนและมาเลย์เข้าด้วยกัน ภายนอกดูยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนภายในก็วิจิตรบรรจงตามแบบฉบับชาวจีน

บ้านหลังนี้ถูกวางผังมาอย่างดี โดยแบ่งสัดส่วนของเจ้านาย ลูกน้อง ศาลเจ้า และครัวออกจากกันชัดเจน ในส่วนของห้องต่างๆ แสดงเครื่องใช้ไม้สอย และของสะสมที่มาพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม นั่นคือเครื่องแก้วแบบยุโรป ผ้าลูกไม้ หรือเครื่องหอมต่างๆ ในขณะที่อีกฝั่งของบ้านเป็นการจำลองวิถีการทอผ้าพื้นเมือง เครื่องแต่งกาย และห้องนอนในสมัยโบราณ ดูแล้วประทับใจมากๆ
ก่อนกลับประเทศไทยฉันใช้ช่วงเวลาสุดท้ายกับการเดินทางขึ้นไปยัง Penang Hill ยอดเขาปีนังที่สามารถชมเมืองมรดกโลกได้เกือบ 360 องศา บนนั้นอากาศเย็นพอสมควร เราต้องควานหาผ้าพันคอที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาคลุมคอคลายหนาว สังเกตว่ามีหนุ่มสาวชาวมาเลย์หลายคู่จูงมือกันขึ้นรถรางมายังยอดเขานี้เพื่อบอกรัก จนดูคล้ายกับเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์

ฉันไม่รู้ว่าความรักของพวกเขาจะยั่งยืนเพียงไร แต่การได้นั่งมองคู่รักขึ้นมาแสดงความรักต่อกันบนยอดเขาสูงๆ แบบนี้ก็ให้ความรู้สึกเพลิดเพลินดีเหมือนกัน

ปีนังเป็นเมืองน่ารัก ฉันยืนยัน และก็หวังว่ามันจะเป็นเมืองที่น่ารักสำหรับทุกๆ คนที่ไปเยือนเช่นเดียวกัน

...................

การเดินทาง

สายการบินแอร์เอเชีย มีบริการบินตรงจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง (กรุงเทพฯ) - สนามบินนานาชาติปีนัง (ปีนัง) ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 14.10 น. ถึงปีนัง 16.55 น. และออกจากปีนังเวลา 17.25 น. ถึงกรุงเทพฯ 18.05 น. สามารถจองตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.airasia.com หรือ โทรศัพท์ 0 2515 9999

จากสนามบินสามารถเดินทางเข้าตัวเมืองได้ด้วยรถแท็กซี่และลิมูซีนเข้าสู่ตัวเมืองด้วยระบบคูปอง และค่าโดยสารราคาคงที่ โดยสามารถซื้อคูปองค่าโดยสารได้ที่เคาน์เตอร์บริการรถแท็กซี่ภายในสนามบินก่อนขึ้นรถ แต่ราคารถลิมูซีนจะแพงกว่าแท็กซี่ ส่วนการเดินทางภายในเกาะปีนังสามารถใช้บริการรถโดยสารสาธารณะได้อย่างสะดวกสบาย สอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่ Penang Global Tourism โทรศัพท์ +604 264 3456 หรือ www.visitpenang.gov.my

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น