วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สวนเสเฮฮา ที่ อุดรธานี



เช้านี้เป็นอีกเช้าที่ฉันตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น เพราะเป็นวันที่จะได้เดินทางมุ่งสู่บึงดอกบัวแดงแสนสวยในฝัน ที่บอกว่าในฝันก็เพราะว่าเมื่อปีแล้วฉันตั้งใจและใฝ่ฝันว่าจะเดินทางไปยลโฉมบัวแดงบานนับล้านๆ ดอกที่หนองหานให้ได้ แต่ก็ต้องฝันสลายเนื่องจาก กว่าจะหาเวลาว่างได้ดอกบัวทั้งหลายก็หุบและตายไปตามอายุขัยที่มีเพียงช่วงสั้นๆ มาปีนี้พอสบโอกาสจึงไม่ยอมพลาดอีกเด็ดขาด
หลังจากที่ล้อของนกเหล็กสีแดงแตะพื้นรันเวย์ ก็ทราบได้ทันทีว่าตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงจังหวัดอุดรธานี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอลงจากเครื่องได้ไม่ทันไรก็ต้องขึ้นนั่งรถบัสขนาดเล็กกันต่อ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางท่องไปในแหล่งอารยธรรมอีสานในอีกมุมมองที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยสัมผัส รวมทั้งตัวฉันด้วย จะว่าไปแล้วอุดรธานีก็เป็นจังหวัดใกล้เคียงกับขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม ซึ่ง 4 จังหวัดหลังที่กล่าวมามีการจัดทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวชมพระธาตุ 4 เมืองมาแล้ว ใครที่ชอบเดินทางไปไหว้พระธาตุตามจังหวัดต่างๆ คงจะทราบ
แต่สำหรับอุดรธานี เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่ 'พระธาตุโพนทอง' ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเท่านั้น แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมถึงมีการจัดกิจกรรมสุดฮิตอย่าง 'พิธีแต่งงานหมู่' ในช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งคู่รักยุคใหม่มักจะสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อให้ได้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักอันหวานหอมและยังได้มีภาพงานแต่งพร้อมฉากหลังที่สวยงามเหมาะเจาะ
ก่อนที่จะไปซึมซับความหวานของคู่รักในงาน 'วิวาห์ล้านบัว ยลบัวล้านดอก' ที่ทะเลบัวแดง เราเริ่มต้นทริปครั้งนี้ด้วยการเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญของเมืองอุดรเป็นจุดแรก ระหว่างทางก็นั่งหาข้อมูลประกอบไปด้วย ทราบว่าจังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 564 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตร.กม. มีสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และในปี 2558 อุดรธานีจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียนอีกด้วย
อีกทั้งเป็นจังหวัดที่มีแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่าพื้นที่ของอุดรธานีในปัจจุบันเคยเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 5,000-7,000 ปี มีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน และภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่อำเภอบ้านผือ แสดงให้เห็นว่าดินแดนแถบนี้เคยมีชุมชนของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ มีอารยธรรมความเจริญในระดับสูง และอาจถ่ายทอดความเจริญนี้ไปสู่ประเทศจีนก็เป็นได้ โดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่บ้านเชียงนั้นสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่เก่าที่สุดของโลก
จากข้อมูลนี้เอง ทำให้ในบ่ายวันแรกนั้นเป็นเวลาแห่งการเที่ยวชมความเก่าแก่และขรึมขลังของ บ้านเชียง แหล่งอารยธรรมที่เดินทางมายาวนานเป็นเวลาหลายพันปี น่าทึ่งที่สิ่งของเหล่านี้ไม่บุบสลายทั้งๆ ที่ล่วงผ่านเวลามานานขนาดนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งแรกของทริปนี้ที่หลายคนประทับใจ หลังจากชมความงามแบบดั้งเดิมแล้ว ก็ได้เวลามาชมของใหม่ที่เลียนแบบของเก่าได้แนบเนียนทีเดียว
พนม สุทธิบุญ ศิลปินท้องถิ่นของชุมชนบ้านเชียง เจ้าของร้าน 'ตุ๋ยไหลาย' เป็นหนึ่งในช่างเขียนสีฝีมือระดับครูและยังเป็นผู้บุกเบิกคนแรกๆ ในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเลียนแบบของโบราณเพื่อเป็นสินค้าที่ระลึก เขาเล่าว่า ชุมชนแห่งนี้มีวัฒนธรรมเก่าแก่ซึมแทรกอยู่ในวิถีชีวิต ทั้งภาษาถิ่น การแต่งกาย อาหารการกิน รวมถึงฝีมือของการปั้นหม้อปั้นไหจากดินเหนียว สำหรับลายที่เขียนลงบนไหดินเผานั้น ได้แก่ ลายตะขอ ก้นหอย รูปสัตว์ เรขาคณิต ลายอิสระ เมื่อชำนาญแล้วช่างก็จะแตกลายออกไปได้เองกว่า 300 ลาย
"เป็นช่างเขียนลายมา 20 กว่าปีแล้ว เด็กๆ ในหมู่บ้านเป็นลูกศิษย์เราหมด ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเขาก็เข้ามาหา จริงๆ ในหลักสูตรของโรงเรียนก็มีการสอนอยู่แล้ว แต่เด็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาคือต้องการฝึกฝนเอาไปประกอบอาชีพจริงๆ กว่าจะทำขายเองได้ก็ต้องเรียนประมาณ 3 เดือน ถ้า 7 เดือนก็จะยิ่งมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ผลงานแต่ละชิ้นของร้านเราเป็นของคุณภาพดี มีมาตรฐาน สินค้าเราได้โอท็อป 4 ดาว หลักจากผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสารพิษ ไม่มีสารปรอท เป็นแฮนเมดทุกขั้นตอน"
ฉันนั่งพูดคุยกับช่างท้องถิ่นอย่างเพลิดเพลิน เพลินไปกับวิธีวาดลายเส้น เพลินไปกับอัธยาศัยดีๆ ของคนท้องถิ่นที่ไม่ถือตัวและมีรอยยิ้มต้อนรับคนต่างถิ่นอย่างเราเสมอ หลังจากคุยกันจนเมื่อย(ช่างก็เริ่มอยากวางพู่กัน) จังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงโห่ร้องและเสียงเพลงดังก้องอยู่กลางถนนหน้าพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง ฉันจึงร่ำลาเจ้าของร้านเพื่อไปชมขบวนแห่ทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านเชียงซึ่งมีการจัดแบบยิ่งใหญ่อลังการทุกปี และก็ไม่ผิดหวัง เพราะในขบวนมีทั้งการแสดง แสง สี เสียง และการแสดงฟ้อนรำพื้นถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ไทพวน และสองข้างทางยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟน่ารักๆ ตลอดจนร้านขายของว่างและขนมขบเคี้ยวออกมาบริการนักท่องเที่ยวมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะเข้าไปชิมร้านไหนก่อนดี
วันต่อมาฉันตื่นก่อนไก่โห่ เพราะการเดินทางของวันนี้แสนพิเศษกว่าทุกวัน ใช่แล้ว.. วันนี้ฉันมีนัดกับดอกบัวแดงที่อำเภอหนองหาน ซึ่งกว่าจะได้พบหน้ากันต้องนั่งรถบัสคันเดิมออกจากตัวเมืองอุดรไปประมาณชั่วโมงเศษๆ บวกกับต้องนั่งเรือจากฝั่งเข้าไปยังกลางบึงอีกประมาณ 30 นาที และเนื่องจากตั้งใจไว้ว่าจะไปให้ทันเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าพร้อมแสงแรกของดวงตะวันโดยมีฉากหลังเป็นดอกบัวบานที่บริเวณกลางบึง เราจึงต้องบึ่งกันไปตั้งแต่เช้ามืด
เพียงก้าวแรกที่ลงจากรถมินิบัสและสายตาจับไปที่บึงน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า ก็ต้องบอกว่าคุ้มค่าจริงๆ เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูหนาว อากาศที่นี่จึงยังมีไอหมอกจางๆ คลุมอยู่ แสงแรกของดวงตะวันก็เพิ่งจะโบกมือมาทักทายเมฆบนฟ้ามองเห็นเป็นสีทองอร่าม หลังจากนั้นก็ได้เวลาลงเรือล่องชมความงามทางธรรมชาติของ หนองหาน หนองน้ำขนาดใหญ่แห่งอำเภอกุมภวาปี ที่นี่จัดว่าเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ มีเนื้อที่มากถึง 22,500 ไร่ อยู่ทางตอนเหนือและกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของกุมภวาปี อีกส่วนอยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอประจักษ์ศิลปาคมและมีบางส่วนอยู่ในอำเภอกู่แก้ว
ที่นี่มีมวลน้ำจากลำห้วย 6 สายไหลมาบรรจบ และความที่มีปริมาณน้ำมากจึงกลายเป็นต้นกำเนิดสำคัญของลำน้ำปาวไหลผ่านอำเภอกุมภวาปี ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ และไหลลงสู่แม่น้ำชี นอกจากนี้หนองหานยังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ตามโครงการโขง ชี มูล เมื่อปี พ.ศ. 2538 และถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่สูงขึ้น ทำให้แสงส่องกระทบผิวน้ำและผิวบางเบาของกลีบดอกบัว ทั่วทั้งท้องน้ำจึงมีสีสันสดใสเต็มไปด้วยสีชมพูแดงกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆ บัวแดงที่ว่าก็คือบัวสายชนิดหนึ่งนั่นเอง สามารถนำไปประกอบอาหารได้แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าบัวสายสีขาว เพราะอย่างหลังก้านบัวจะกรอบอร่อยมากกว่า เท่าที่คะเนด้วยสายตาก็พบว่าเห็นปีนี้บัวอาจจะไม่หนาตาเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากกุมภวาปีประสบภัยแล้งทำให้น้ำน้อยส่งผลให้มีบัวน้อยลง แต่สำหรับฉันเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้มาชม เราล่องเรือถ่ายภาพบัวไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณปะรำพิธีกลางน้ำซึ่งเป็นจุดที่บ่าวสาวเกือบ 20 คู่ เดินทางมาผูกพันสัญญารักกันที่นี่เนื่องในเดือนแห่งความรัก ก่อนจะมีพิธีแต่งงานกันตามประเพณีและร่วมกิจกรรมต่างๆ กันต่อที่ตัวเมืองอุดร
วันสุดท้ายของทริป เราเดินทางไปเที่ยวบริเวณตัวเมืองเพื่อเที่ยวชมงานตรุษจีนที่ยิ่งใหญ่ระดับจังหวัดที่จัดขึ้นที่ ศาลเจ้าปู่-ย่าซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นแหล่งรวบรวมจิตใจของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองอุดร ภายในบริเวณศาลเจ้าจะมีศาลต่างๆ อยู่ในบริเวณเดียวกันจำนวน 6 ศาล คือ ศาลเทพยาดาฟ้า-ดิน, ศาลเจ้าปู่-ย่า, ศาลเจ้าพ่อหนองบัว, ศาลเจ้าที่, พระสังกัจจายน์ และ เทพแห่งปราชญ์ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของนักเรียนและนักศึกษา ภายในงานมีการจัดฉากสวยๆ ให้ถ่ายรูปหลายจุด เห็นนักแสดงที่แต่งหน้าแต่งตัวเตรียมตัวขึ้นโชว์อุปรากรจีน อีกมุมมีคนกลองที่กำลังฝึกตีกลองอย่างขะมักเขม้น และผู้คนต่างเดินเที่ยวเดินชิมอาหารตามซุ้มต่างๆ อย่างคึกคัก
จากการสอบถามผู้รู้ท้องถิ่นทราบว่า มีกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในจังหวัดอุดรธานี ได้อัญเชิญผงธูปที่เรียกกันว่า 'ผงมงคล' แห่งองค์เทพเจ้าปู่มาประทับที่ศาลไม้เล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งหนองบัวซึ่งเป็นสถานที่ที่เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ ต่อมาได้มีการบูรณะสร้างศาลขึ้นมาใหม่และมีพ่อค้าชาวจีนนำรูปปั้นองค์เจ้าปู่-เจ้าย่ามาถวายที่ศาล ที่นี่จึงเป็นเพียงแห่งเดียวที่มีทั้งเจ้าปู่-เจ้าย่าสถิตอยู่ด้วยกันทำให้มีลูกหลานมังกรเดินทางมากราบไหว้อยู่ไม่ขาดสาย ฉันเองแม้จะไม่มีเชื้อสายมังกรแต่ก็ขอเข้าไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นมินิบัสก็พาเราไปสักการะ ศาลหลักเมืองอุดรธานี กันต่อ ศาลหลักเมืองที่นี่พิเศษกว่าที่อื่นๆ เพราะในบริเวณเดียวกันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอุดรนับถือประดิษฐานอยู่รวมกันถึง 3 ส่วน เริ่มจาก ศาลเจ้าหลักเมืองหรือศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ได้เริ่มสร้างเสาหลักเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยได้ทำพิธีอัญเชิญดวงพระวิญญาณของพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม มาสิงสถิต ณ เสาหลักเมือง ซึ่งทำด้วยไม้คูณและใต้เสาหลักเมืองมีแผ่นยันต์ รวมถึงแก้วแหวนเงินทองต่างๆ เป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการสร้างศาลหลักเมืองหลังใหม่แทนหลังเดิมที่ทรุดโทรมไป ตัวอาคารศาลหลักเมืองเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ผสมผสานศิลปะอีสาน ทั้งสวยงามและน่าเกรงขามไปพร้อมๆ กัน
ส่วนที่สองคือ รูปปั้นท้าวเวสสุวรรณโณ 1 ใน 4 ของท้าวจตุโลกบาลผู้ปกครองเหล่าอสูร ประดิษฐานอยู่ใกล้ๆ กับศาลหลักเมือง ผู้คนมักมากราบไหว้ขอพรให้ศัตรูหมู่มารหรือผู้มาคิดร้ายให้แพ้ภัยตัวเองหรือกลับใจมาเป็นมิตร และส่วนที่สามคือ หลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทอง ผู้ที่มากราบไหว้มักขอพรให้มีร่มโพธิ์ร่มไทร มีผู้ใหญ่สนับสนุนค้ำจุน โดยผู้ที่มาสักการะมักเก็บใบโพธิ์ที่หล่นอยู่หลังคากลับไปบูชาด้วย
ก่อนกลับเราแวะซื้อของฝากประจำถิ่น ซึ่งก็หนีไม่พ้นแหนมเนืองรสเด็ด แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือการได้มายลบัวงามและเที่ยวไปท่ามกลางวัฒนธรรมที่หลากหลายของเมืองอุดรธานีที่เมื่อได้มาแล้วก็ต้องอยากกลับมาอีกครั้ง และอีกครั้ง
---------------
การเดินทาง
เดินทางอย่างง่ายที่สุดก็คือเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะรวดเร็วและสะดวกสบายซึ่งตอนนี้อุดรธานีก็เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางหลายๆ คน ผู้ให้บริการก็มีหลากหลายสายการบิน โดยเฉพาะสายการบินแอร์ เอเชีย จะมีบริการเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ(ดอนเมือง) สู่อุดรธานีทุกวัน สอบถามเพิ่มเติม โทร 0 2515 9999 หรือดูรายละเอียดตารางเที่ยวบินที่www.airasia.com
 
รถยนต์ : จากกรุงเทพฯ ให้ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรี บริเวณกิโลเมตรที่ 107 แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านนครราชสีมา ขอนแก่น ถึงอุดรธานี รวมระยะทางประมาณ 564 กิโลเมตร

รถไฟ : การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดบริการรถไฟวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานี ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร 1690, 0 2220 4334, 0 2 223 7010, 0 2223 7020 หรือ www.railway.co.th
รถโดยสารประจำทาง : มีบริการรถโดยสารทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานีทุกวัน รถออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ ถนนกำแพงเพชร (หมอชิต 2) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร 0 2936 2852 - 66 และที่สถานีขนส่งอุดรธานี โทร 0 4222 1489 หรือ www.transport.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น