ปริศนาแห่งรอยยิ้มที่มีอายุกว่า 800 ปี ยังไม่มีใครถอดรหัสออกมาได้ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ร่วมกัน นั่นคือ ความมหัศจรรย์ของมนุษย์ในอดีต ที่พยายามรังสรรค์ศิลปกรรมอันงดงามเหล่านี้ขึ้นมา แม้ว่าในยุคนั้นจะยังไม่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยใดๆ เลยก็ตาม
ซัวซะเดย ขแมร์ (สวัสดีกัมพูชา)
การกลับมาเยือนกัมพูชาอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานถึง 8 ปี ให้ความรู้สึกต่างกันลิบลับ ครั้งก่อนฉันใช้เวลาเดินทางโดยรถโดยสารจากด่านปอตเปตถึงเมืองเสียมราฐราว 6-8 ชั่วโมง ทั้งที่ระยะทางเท่ากัน คือ 159 กิโลเมตร แต่เพราะถนนหนทางถูกปรับปรุงใหม่ กลายเป็นถนนลาดยางแสนสบาย ทำให้ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางอยู่ที่ 2 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น
ป้าย "หัวกะโหลกไขว้สีแดง" ที่ปักเตือนว่า "พื้นที่นี้มีระเบิดที่ยังไม่ได้เก็บกู้" หายไปจาก 2 ข้างทางแล้วอย่างสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า กัมพูชาพร้อมเต็มที่แล้วกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกช่องทาง คนไทยที่เคยกลัวๆ กล้าๆ ว่าจะเดินทางเข้ามาเที่ยวกัมพูชาดีมั้ย วินาทีนี้ขอให้มั่นใจได้เลยว่า กัมพูชาปลอดภัยจริงๆ
และก็อย่าแปลกใจเลย ถ้าประโยคเด็ดที่ว่า "See Angkor and die" ของ อาร์โนล์ ทอยน์บีนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ จะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่การันตีว่า มรดกโลกอย่างเมืองพระนคร(นครวัด-นครธม) นั้นคุ้มค่าต่อการเดินทางมาเยี่ยมชมเสียเหลือเกิน เพราะขนาดฉันที่เคยเดินทางมาสัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองโบราณนี้แล้วครั้งหนึ่ง ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งกับสิ่งปลูกสร้างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
สำหรับ เมืองพระนคร (Angkor) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2535 โดยองค์การยูเนสโก ซึ่งนับตั้งแต่ได้รับการขึ้นทะเบียนจนถึงปี 2547 เมืองพระนครนั้นถูกจัดให้เป็นมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย หมายถึง เสี่ยงต่อการหลุดออกจากบัญชีรายชื่อมรดกโลก แต่เพราะมีการจัดการโบราณสถานที่ดี ทำให้วันนี้เมืองพระนครยังมีชื่ออยู่ในบัญชีมรดกโลกอย่างมั่นคง
เมืองพระนครนั้นถือเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดในเอเชียอาคเนย์ มีพื้นที่รวมกว่า 400 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยพื้นที่ป่าและเมืองพระนคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรขอมโบราณ จากศตวรรษที่ 9 ถึง 15 มีแหล่งโบราณสถานหลายแห่ง รวมทั้งปราสาทนครวัด นครธม และรูปสลักอีกนับไม่ถ้วน และจากภาพถ่ายดาวเทียมก็ได้แสดงให้เห็นว่า เมืองพระนครเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยมีระบบสาธารณูปโภคที่เชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่อย่างน้อย 100 ตารางกิโลเมตร
ฉันเดินฝ่าเปลวแดดร้อนแรงผ่าน "สะพานนาค" เข้าไปภายใน ปราสาทนครวัด เทวสถานทางศาสนาพราหมณ์ที่ได้ชื่อว่าอลังการและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือมีพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ รายรอบปราสาทแห่งนั้นคือ "บาราย" หรือ สระน้ำขนาดใหญ่ 4 ทิศ ใจกลางเป็นปราสาทหินที่ประกอบด้วย ปราสาทใหญ่ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ สูง 12 เมตร บนฐานชั้นบนมีปราสาทองค์ใหญ่ สูงประมาณ 40 เมตร ตั้งอยู่ตรงกลาง และมีปราสาทขนาดเล็กกว่าล้อมรอบอยู่ทั้ง 4 ทิศ เชื่อมด้วยระเบียงหินที่มีภาพสลักทั้ง 4 ด้าน นอกจากนี้ยังมีระเบียงหินเป็นกำแพงล้อมรอบถัดออกไปอีกชั้นหนึ่งด้วย
ปราสาทนครวัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1656-1693 โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งอาณาจักรขอม หากลองสังเกตจะพบว่า ปราสาทนครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ผิดแผกจากศาสนสถานทั่วไป ซึ่งลักษณะเช่นนี้ นักวิชาการสันนิษฐานว่า ที่นี่น่าจะเป็นทั้งเทวาลัยและสุสานของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับลัทธิเทวราชาที่กษัตริย์เป็นดั่ง "สมมติเทพ" หลักการจะคล้ายๆ กับการสร้าง "พีระมิด" ของฟาโรห์อียิปต์ในยุคโบราณ ที่ต้องการให้พีระมิดเป็นบ้านหลังความตายของกษัตริย์ที่เป็นดั่ง "สมมติเทพ" นั่นจึงทำให้การสร้างพีระมิดมีผังเป็นรูปมณฑลจักรวาล
เช่นเดียวกัน ปราสาทนครวัดมีการก่อสร้างที่เปรียบได้กับ "แผนภูมิจักรวาล" คือจะมีปราสาทที่เป็นประธานเด่นสง่า เปรียบได้กับเขาพระสุเมรุที่เป็นแกนของจักรวาล ส่วนปราสาทบริวารทั้ง 4 ที่อยู่โดยรอบนั้นหมายถึงทวีปทั้ง 4 นั่นเอง
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงบูชาพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ เป็นเทพสูงสุด ดังนั้นโดยรอบปราสาทนครวัดจึงมีภาพจำหลักปางอวตารต่างๆ ของพระนารายณ์ในบทบาทของ "เทพผู้รักษา" ซึ่งหัวใจสำคัญของการมาชมปราสาทนครวัดอยู่ที่ภาพสลักต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนหินแทบทุกซอกมุมของปราสาท และด้วยความยาวเกือบ 600 เมตรรอบมหาปราสาท ทำให้ภาพสลักเหล่านั้นกลายเป็นผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดของศิลปะขอม เรียกว่า ศิลปะยุคนครวัด
สารภาพว่าตอนที่เดินชมภาพสลักต่างๆ ที่อยู่รอบระเบียงหินนั้นฉันไม่เข้าใจเรื่องราวที่ปรากฏอยู่เลย แต่มีบางรูปที่เตะตาจนต้องบันทึกภาพกลับมา ซึ่งจากการค้นหาความหมายก็พบว่าเรื่องราวที่บันทึกอยู่นั้นมีมากมายนับสิบเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพสลักเรื่องมหาภารตยุทธ ตอน การยุทธที่ทุ่งกุรุเกษตร ภาพสลักขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ที่บันทึกภาพ "กองทัพเสียมกุก" แห่งสยามไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีภาพสลักนรก สวรรค์ และแดนมนุษย์ ภาพกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทวดาและอสูร ซึ่งภาพหลังสุดนี้อธิบายที่มาของคำว่า "ถือหาง" ได้ดีที่สุด (เพื่อความเข้าใจควรอ่านรายละเอียดเรื่องการกวนเกษียรสมุทรเพิ่มเติมจากบทความประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง)
นอกจากภาพสลักเรื่องราวต่างๆ รอบมหาปราสาทแล้ว "ภาพนางอัปสรา" ที่ปรากฏอยู่โดยรอบก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้คนทั่วโลกเดินทางมาเยือนปราสาทนครวัด จริงๆ ไม่ใช่ที่นี่ที่เดียวที่มีภาพนางอัปสรา แต่ว่ากันว่า นางอัปสราที่ปราสาทนครวัดงดงามและมีจำนวนมากที่สุด พินิจแล้วก็เห็นจะจริง เพราะมีมากถึง 1,636 องค์(ไม่ได้นับเอง) และที่น่าอัศจรรย์กว่าใครๆ เห็นจะเป็นนางอัปสรา 3 องค์ ที่มีบุคลิกประหลาด คือ นางอัปสราเปลือยอก นางอัปสราลิ้นสองแฉก และนางอัปสรายิ้มเห็นฟัน ส่วนนางอัปสราองค์อื่นๆ นั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามแตกต่างกันไป เรียกว่า แค่ชมแฟชั่นของนางอัปสราเหล่านี้ให้ครบ ก็เหมือนได้ชมนางแบบ Vouge ทั่วโลกแล้ว
เรียนซันเฮย ขแมร์ (ลาก่อน กัมพูชา)
อย่างที่บอก นอกจากปราสาทนครวัดแล้ว นครธม ยังเป็นโบราณสถานอีกส่วนที่ทำให้ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเมืองพระนครเป็นมรดกโลก ความพิเศษของนครธม คือเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรพระนคร โดยมีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นผู้สร้าง ทว่า ฉากอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งมวลมนุษยชาตินี้กลับล่มสลายลงอย่างเป็นปริศนา ทั้งๆ ที่แผ่อาณาจักรกว้างไกลไปได้นับ 1,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนักวิชาการทั่วโลกต่างขบคิดถึงเหตุแห่งการล่มสลายนี้ แต่ก็ยังไม่มีทฤษฎีไหนได้รับการยอมรับว่า ใช่ หรือตรงที่สุด
นครธม เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้าย และเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขอม สถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษ 18 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปาออกไป ก็ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาทับเขตเมืองเก่าคือ "ยโศธรปุระ" ภายในเมืองพระนครแห่งนี้มีพระราชวังและปราสาทต่างๆ มากมาย โดยมี "ปราสาทบายน" ที่ตั้งอยู่ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ความน่าสนใจของนครธมเริ่มต้นตั้งแต่ประตูทางเข้าที่เป็นสะพานหินทอดยาวผ่านคูน้ำเข้ามาจนถึงกำแพงเมืองและซุ้มประตู ซึ่งสะพานหินทั้งสองฝั่งจะมีราวสะพานที่เป็นรูปหินแกะสลักเรื่องการกวนเกษียรสมุทร หรือการยุดนาคระหว่างเทวดากับอสูร ถ้าใครดูไม่ออกว่าฝ่ายเทวดาอยู่ตรงไหน หรือฝ่ายอสูรหน้าตาเป็นอย่างไร ให้ใช้จุดสังเกตคือ อสูรจะถือฝั่งหัวนาคและมีหน้าตาบึ้งตึงขึงขัง ส่วนฝ่ายที่ถือหางนาคเป็นเทวดา หน้าตายิ้มแย้มใจดี และที่น่าสนใจอีกจุดคือบนซุ้มประตูจะมีหินทรายที่สลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร โดยมีสายตาที่ทอดต่ำลงมากับรอยยิ้มอย่างมีสุข แบบที่เรียกกันว่า "รอยยิ้มแห่งบายน" นั่นเอง
ภายในเมืองพระนครแห่งนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายจุด เริ่มตั้งแต่ "ลานช้าง" ที่สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อให้พระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นนั่งทอดพระเนตรการสวนสนาม การซ้อมรบ หรือการเฉลิมฉลองต่างๆ ซึ่งลักษณะของลานช้างจะระเบียงยาวประมาณ 350 เมตร สูง 3 เมตร มีบันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นทางพระราชดำเนินสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น
จากลานช้างฉันเดินลอดโคปุระที่อยู่ด้านหน้าเข้าไป แล้วพบว่าภายในคือ "พระราชวังหลวง" และมี "ปราสาทพิมานอากาศ" ตั้งอยู่ตรงกลาง
ปราสาทพิมานอากาศ เป็นปราสาทหลังเดียวที่ก่อสร้างด้วยหินทรายอยู่บนฐานศิลาแลง ซ้อนกัน 3 ชั้น รูปร่างคล้ายพีระมิด ความสูงของฐานปราสาทพิมานอากาศทั้ง 3 ชั้นอยู่ที่ราว 12 เมตร รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีบันไดลาดชันทั้ง 4 ด้าน ส่วนทางเข้าชมพระราชวังต้องเดินผ่านฐานขึ้นบนพลับพลาสูงไปตามบันไดครุฑ เพราะพระราชวังนี้ตั้งอยู่บนพลับพลาสูง เมื่อขึ้นไปสู่พลับพลาสูงจะเห็นประติมากรรมรูปสิงห์ ศิลปะสมัยบายนยืนผงาดอยู่เชิงบันไดทั้งสองข้าง บนฐานพลับพลาสูงแห่งนี้ยังมีร่องรอยการปลูกสร้างพลับพลาในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้ออกว่าราชการตรวจพลสวนสนาม หรือประกอบพิธีทางศาสนา ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยอีกแล้ว เพราะสิ่งก่อสร้างทำจากไม้
อากาศร้อนอบอ้าวทำให้เราพินิจผลงานศิลปกรรมโบราณได้อย่างไม่สะดวกสบายนัก จากปราสาทพิมานอากาศ ฉันจึงเดินทะลุกำแพงเล็กๆ เข้าไปยังปราสาทที่งดงามน่าอัศจรรย์อีกแห่ง นั่นก็คือ ปราสาทบาปวน
มองจากด้านข้างที่เดินทะลุกำแพงเข้ามา ที่นี่ดูคล้ายปราสาทเก่าโบราณทั่วไป แต่เลาะเลียบปราสาทไปจนถึงด้านหลัง สิ่งที่ทำให้ฉันต้องอึ้งตะลึงงัน นั่นก็คือ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่ก่อขึ้นจากหินก้อนใหญ่ แทรกซึมกันไปจนกลายเป็นผนังปราสาท ซึ่งเป็นการบูรณะขึ้นใหม่แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนในยุคนั้น เพราะเดิมทีแล้วปราสาทบาปวนเป็นปราสาทในศาสนาฮินดู มีรูปทรงคล้ายพีระมิด มีฐานเป็นชั้นๆ ส่วนบนสุดเป็นปราสาทประธาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่ปราสาทประธานมียอดเรียวแหลม คล้ายกับปราสาทพนมรุ้งบ้านเรา นอกจากนี้ยังมีระเบียงคตถึง 3 ชั้น เชื่อมต่อกันได้ตลอด ที่น่าสนใจอีกจุดคือบริเวณหน้าบัวของโคปุระขนาดใหญ่มีร่องรอยการเจาะคานไว้ ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของศิวลึงค์ทองคำ สัญลักษณ์แทนพระศิวะ แต่ได้สูญหายไปนานแล้ว
เดินต่อไปอีกนิดก็จะถึงไฮไลต์ของการเดินทางมาเยือนนครธม นั่นก็คือ การชื่นชมความลึกลับของ ปราสาทบายน ที่มีปรางค์เป็นรูปสลักพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผันพระพักตร์ออกไปทั้ง 4 ทิศ จำนวนทั้งสิ้น 54 ปรางค์ นักวิชาการพยายามวิเคราะห์หาความหมาย จนสุดท้ายเชื่อกันว่า พระพักตร์ที่เห็นนี้เป็นตัวแทนของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการสอดส่องดูแลทุกข์สุขของราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข
“ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม ซึ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนคนแคระ และทันทีทันใดเลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดแข็งเย็นขึ้นมา เมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่กำลังมองลงมา แล้วก็รอยยิ้มอีกด้านหนึ่งเหนือกำแพงอีกด้านหนึ่ง แล้วก็รอยยิ้มที่สาม แล้วก็รอยยิ้มที่ห้า แล้วก็ที่สิบ ปรากฏจากทั่วสารทิศ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีตาคอยจ้องมองอยู่ทุกทิศทาง” นั่นคือคำบรรยายของ ปิแอร์ โลตี นักเดินทางรุ่นก่อนที่เอ่ยถึงปราสาทบายนเมื่อครั้งที่มาพบในช่วงแรกๆ
จริงๆ แล้วไม่เพียงแค่ปรางค์รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเท่านั้นที่น่าสนใจ เพราะรอบๆ ระเบียงปราสาทมีภาพสลักนูนต่ำเป็นภาพขบวนทหารและแม่ทัพนายกองของขบวนทัพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นอกจากนี้ยังมีภาพสลักยุทธภูมิทางเรือของกองทัพขอมและกองทัพจาม ภาพสลักเล่าเรื่องในรั้วในวัง ภาพการประดับราชวังเพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ภาพการซ่อมแซมปราสาท ภาพการแสดงกายกรรม การละเล่น คนไต่ราว การแสดงมายากล มวยปล้ำ และพวกสัตว์ที่มากับคณะละครสัตว์ เป็นต้น
ฉันยืนอยู่บนปราสาทบายน ปราสาทที่ได้ชื่อว่าสวยงามและน่าอัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองพระนคร โดยไม่ต้องวิเคราะห์กันเนิ่นนาน ร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนโบราณสถานบอกเล่าถึงความรุ่งเรืองในยุคอดีตนั้นได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเหตุใด อาณาจักรที่เคยเรืองอำนาจอย่างถึงที่สุดจึงเสื่อมสลายร่วงโรยลงไปอย่างรวดเร็ว นักวิชาการจากหลายประเทศพยายามค้นหาคำตอบนั้น แต่...
ยังไม่มีใครค้นพบสาเหตุแห่งการล่มสลายที่แท้จริงได้สักคน
................
การเดินทาง
การเดินทาง
เดี๋ยวนี้ไปกัมพูชาง่ายแสนง่าย จะใช้ทางอากาศก็สะดวก แนะนำสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เพราะมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปเสียมราฐ(เสียมเรียบ) ทุกวัน ดูข้อมูลตารางการบินได้ที่ www.bangkokair.com หรือจะเลือกใช้เส้นทางรถยนต์ก็มีรถโดยสารตู้ให้บริการจากกรุงเทพฯ ไปตลาดโรงเกลือ(อ.อรัญประเทศ) จากนั้นไปต่อรถฝั่งปอยเปต เข้าสู่เสียมราฐ สะดวกไม่แพ้กัน สำหรับท่ารถตู้มีให้บริการทั้งที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสวนลุมพินี(รถบ่อน) สะดวกเส้นทางไหนก็ลองเลือกใช้บริการกันดู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น