วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ล่าภาพนก ที่ แม่ฮองสอน



"วันนี้ในอ่างไม่มีน้ำหรอก เพิ่งเริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเมื่อตีห้า ปล่อยน้ำไปเยอะแล้ว"
คำตอบของเจ้าหน้าที่ประจำโรงผลิตไฟฟ้าพลังน้ำแม่สะงำจ.แม่ฮ่องสอน ทำเราอึ้งกันไปทั้งคณะ เพราะตั้งใจกันมากจนดั้นด้นมาทั้งคืนนับหนึ่งพันกิโลเมตร เพื่อมาตามถ่ายภาพ "นกกระเต็นขาวดำใหญ่" ซึ่งอพยพหนีหนาวมาอาศัยป่าเหนืออ่างเก็บน้ำ เป็นที่พักพิงชั่วคราว
และเป็นที่รู้กันในหมู่นักนิยมนกว่า เวลาเช้าตรู่ มันจะออกมาวนเวียนหากินใกล้ๆ "สปิลเวย์" หรือ ฝายระบายน้ำล้น โดยเฉพาะในวันที่โรงไฟฟ้าไม่ได้เดินเครื่องจักร ปริมาณน้ำส่วนที่เกินความจำเป็นสำหรับผลิตไฟฟ้าจะล้นออกมาตามช่องทาง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีปลาเล็กปลาน้อยไหลตามกระแสน้ำมาด้วย อาหารที่หากินได้ง่ายดายเยี่ยงนี้ ล่อตาล่อใจให้เจ้า "กระเต็นขาวดำใหญ่" ออกมายืนเกาะกิ่งไม้นิ่ง รอจังหวะโฉบลงจับปลา ซึ่งนั่นก็สร้างโอกาสให้ "พรานล่าภาพ" ได้กดชัตเตอร์กันสนุกมือ แต่หากเหตุการณ์ดันตรงกันข้าม เมื่อไม่มีอาหาร นกก็ไม่มาเกาะให้เห็น...
"เอาไงดีพี่" ผมโพล่งออกไปแบบสัมปชัญญะไม่ค่อยครบ เพราะนอกจากจะได้หลับแบบโยกซ้ายย้ายขวาบนถนนพันโค้งไปเพียง 2-3 ชั่วโมง ยังไปนั่งเก้อรอนกตั้งแต่ตีห้า
"งั้นไป ดอยลาง " หัวหน้าคณะผมยาวเคราดกตอบหลังจากโทรศัพท์หาข้อมูลอยู่ครู่หนึ่ง
"ดอยลาง... อยู่แถวไหนอ่ะ?" ผมถามกลับไปอย่างเร็ว เพราะไม่คุ้นชื่อดอยนี้เอาเสียเลย
"อยู่เขตเชียงใหม่??... ไม่รู้เหมือนกัน.... ลองเสิร์ชแผนที่ดูสิ" หนุ่ม(เริ่ม)ใหญ่เคราครึ้มอีกรายเสริม
"แถวๆ ฝาง แม่อาย ดอยสะเก็ด เกือบสองร้อยโลจากเมืองเชียงใหม่ ไม่ไกลมาก จะไปกันเลยไหม?" บทสนทนาสุดท้ายก่อนความเงียบจะปกคลุมบรรยากาศ เหลือแต่เพียงเสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึ้ง และเสียงลมหายใจไหลผ่านลิ้นไก่-เพดานอ่อนในช่องปากจนสั่นสะเทือนไปทั้งรถ...
"ดอยลางมันมีอะไรดีรึ" วงเสวนาเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังน้ำมันเต็มถัง-อาหารเต็มท้อง
"โห ไม่รู้อะไร อินทนนน์เหงาเพราะดอยลางนี่แหละ" หัวหน้าคณะกล่าวอย่างได้ที
อันที่จริงพอนึกไปนึกมาก็เริ่มจะจำได้ลางๆ อยู่เหมือนกันว่า ปีนี้เหล่าผู้นิยมนก ทั้งนิยมดูเฉยๆ นิยมถ่ายภาพ นิยมวิจัย นิยมอนุรักษ์ ฯลฯ หายหน้าหายตาไปจากดอยอินทนนน์ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของนักดูนกมิใช่น้อย เพราะปากต่อปากบอกกันมาว่า มีนกแปลกๆ ที่หาดูยาก ทั้งนกอพยพและนกประจำถิ่น โผล่มาให้เห็นกันเนืองๆ โดยเฉพาะ "นกขัติยา" ซึ่งพบได้ที่เดียวในประเทศไทย อีกทั้งสภาพภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงและเลียบตะเข็บชายแดนไทย-พม่าไปตลอดแนว ทำให้ไม่ถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกมากนัก
การขึ้นดอยลางไม่ยากลำบากเท่าใดนักสำหรับคนที่เดินทางเป็นสรณะอย่างพวกเรา จากเมืองเชียงใหม่ ตรงไปตามถนนสาย 107 ยิงยาวไปจนก่อนถึง อ.ฝาง จะพบสามแยกถนนเลี่ยงเมืองมีป้าย "อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก" ชัดเจน
แต่สำหรับคนรู้(ไม่)จริงอย่างเรา เลือกจะขับรถไปจนถึง อ.แม่อาย แล้วค่อยเลี้ยวขึ้นดอยตามเส้นทางที่จะมุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1314 ไปผ่านทาง "พระธาตุดอยลาง" ด้วยเหตุผลเดียวคือ "ดูในแผนที่แล้วระยะทางสั้นกว่า"
แม้ว่าระยะทางรวมจะไกลออกไปอีก แต่ด้วยความที่เห็นว่าเป็นทางลาดยางเสียส่วนใหญ่ จึงยังชะล่าใจว่า "สบายๆ" โดยไม่ได้ใส่ใจกับดวงอาทิยต์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที
กระทั่งถึงหน่วย ตชด. กลางโค้งหักศอกใหญ่บนเขา สอบถามเจ้าหน้าที่แล้วได้ความว่า ต้องไต่ขึ้นไปตามสันเขาอีกราว 20 กม. ถนนนั้นไม่สู้ดีเท่าไร แต่ฤดูแล้ง รถกระบะก็ขึ้นไหว แถมมีที่พักอยู่ข้างบนดอย ก็โล่งใจกันไปอีกเปลาะ แม้ว่าที่จริงแล้ว วางแผนกันไว้ว่า เย็นนี้ขอแค่ขึ้นไปดูภูมิประเทศ รวมถึง "หมาย" ซึ่งเป็นจุดที่นักนิยมไพรรุ่นแรกๆ ที่มาเยือนดอยลางค้นพบว่ามีนกแปลกๆ ปรากฏให้เห็นบ่อย และบอกต่อๆ กันมา
แต่เอาเข้าจริง "ถนน" ที่ว่า กลับเริ่มรกครึ้มลงทันทีที่เราผ่านหน่วย ตชด. มาเพียงร้อยเมตร แม้จะเป็นทางที่สร้างไว้ค่อนข้างดี เพราะเป็นเส้นทางสายความมั่นคงซึ่งเลาะชายแดนไปแทบจะอยู่บนแนวสันปันน้ำ แต่ด้วยความแคบแค่พอดีคันรถ ความชันแบบไม่มีทางราบ ประกอบกับหลังฤดูฝนที่ผ่านมา ทางบางช่วงก็เสียหายไปบ้าง ทำเอาเหล่าสมาชิกเริ่มหวั่นใจ ว่าจะถึงที่หมายไม่ทันฟ้ามืด อีกทั้งเสบียงก็ไม่ได้เตรียมมา และอากาศก็หนาววูบลงอย่างรวดเร็วหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในขณะที่ขนอุปกรณ์มาเต็มคันรถ แต่ไม่มีแม้ผ้าห่มสักผืน....
ก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะแย่ลงไปกว่านี้ แสงจากโคมไฟใหญ่หน้ารถก็สาดกระทบป้ายบางอย่างบนยอดเนิน เสียงเห่าขรมของเพื่อนร่วมโลกยิ่งทำให้เราใจชื้น
ข้อความบนป้าย "ลานกางเต็นท์ดอยลาง" บ่งบอกว่า เราน่าจะมาถึงที่หมายแล้ว แม้จะยังไม่พบใคร แต่เพื่อนสี่ขาก็ช่วยให้เรารู้ได้ว่า มีคนอยู่ที่นี่แน่ๆ
เหลียวซ้ายแลขวา คว้าไฟฉายส่องไปถนนฝั่งตรงข้าม เจอกระท่อมเล็กๆ อยู่ 3-4 หลัง เมื่อมองลึกไปอีก ก็เห็นควันไฟฟุ้งอยู่ในแนวสน
หน่วยเจรจามุ่งหน้าไปหาแหล่งกำเนิดควันนั้นอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องไหว้ครู ครู่ใหญ่ก็เดินกลับออกมาพร้อมเครื่องนอนครบมือ
"มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 2-3 คน รอดแล้วเรา" หน่วยหน้าเล่าอย่างเริงร่า นั่นเพราะอย่างน้อย คืนนี้ก็มีที่ซุกหัว
"แต่ไม่มีอาหารนะ นี่เดี๋ยวพี่เขาจะปันเนื้อหมูดิบ กับข้าวสารมาให้ เราต้องมาทำเอาเอง"
แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเราที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสักอย่างนอกจากกล้องถ่ายภาพ...
กระท่อมพักแรมที่ทางหน่วย อช.ดอยฟ้าห่มปก (ดอยลาง) เตรียมไว้ เป็นกระท่อมไม้ไผ่ขนาดพอประมาณ มีส่วนที่เป็นเตาไฟไว้พร้อมตามแบบบ้านชาวดอย ซึ่งใช้ทั้งสำหรับประกอบอาหารและให้ไออุ่นไปด้วยในตัว เจ้าหน้าที่จัดให้เราพักในหลังใหญ่สุด ซึ่งรับได้พอดีๆ สำหรับ 4 คน ห้องน้ำรวมอยู่ไม่ไกลนัก แต่อุปสรรคสำคัญคือ อากาศที่เย็นเยียบ คร่าวๆ ราว 1 ทุ่ม อุณหภูมิคงไม่ถึง 20 องศาเซลเซียสแล้ว
เสียงซู่ซ่าจากหมูรวนเค็มในกระทะของหัวหน้าคณะ ดังแข่งกับเสียงรัวจากชัตเตอร์กล้องของลูกทัวร์หนุ่ม(เริ่ม)ใหญ่ท่ามกลางความเงียบงันยามรัตติกาล
ฉากแสงดาวสว่างไสวไปทั่วฟ้า ล้อกับแสงไฟลิบๆ จากเขตเมือง ตบท้ายด้วยชาจีนร้อนๆ สดจากยอดดอยที่เจ้าหน้าที่ปลูกไว้ ทำให้คืนนี้หลับฝันดีกันทั่วหน้า...
หลังชื่นชมไข่แดงฟองใหญ่โผล่พ้นชายเขา ชาวคณะประกอบอาวุธอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าสู่ที่หมายใหญ่ จุดสกัดดอยผ้าห่มปก ร้อย ตชด. 334 ซึ่งห่างไปไม่กี่กิโลเมตร
ที่จุดตรวจนั้นมีเพียงที่พักเจ้าหน้าที่ ที่ทำการเล็กๆ โรงครัวขนาดย่อม และห้องน้ำพอเพียง ไม่มีน้ำประปา ไฟฟ้ามีแค่สำหรับวิทยุสื่อสาร แต่ก็เพียงพอจนนักท่องเที่ยวหลายรายปลงใจมาขอกางเต๊นท์ถึงที่นี่ แต่หลังๆ ชักหนักข้อ จากแค่ขออาศัยกลายเป็นเริ่มเบียดเบียน ประหนึ่ง ฐาน ตชด. เป็นจุดบริการนักท่องเที่ยว
เราทักทายเจ้าถิ่นซึ่งนั่งรับไออุ่นอยู่กลางแดด คุยกันพักใหญ่จับความได้ว่า เมื่อก่อนเส้นทางนี้เป็นทางสายยุทธศาสตร์ สมัยที่พม่ายังรบกับไทยใหญ่และว้าอย่างรุนแรง ไม่ได้เปิดเป็นทางสาธารณะ แต่พอสถานการณ์คลี่คลาย รวมทั้งมีการปลูกป่าทดแทน และรวมทั้งอยู่ในเขต อช.ดอยผ้าห่มปก และด้วยความสูงมากกว่า 2,000 ม. จากระดับน้ำทะเล อากาศจึงหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้มีคนภายนอกเดินทางเข้ามามากขึ้น
กระทั่งมีผู้มาพบว่า นกนานาชนิดชอบมาหากินเศษอาหารหลังโรงครัว แถมยังไม่ค่อยกลัวคน เพราะไม่มีใครไปทำอันตราย บางทีบุกเข้าไปถึงในครัวเลยก็มี เหล่าผู้นิยมนกจึงทยอยกันเดินทางกันมาอย่างไม่ขาดสาย นกทั่วๆ ไปที่พบเห็นได้ง่ายก็พวก นิลตวาใหญ่ หางรำดำ กระรางแก้มแดง ภูหงอนท้องขาว นกเขนน้อยพันธุ์หิมาลัย อีแพรดท้องเหลือง ฯลฯ แม้แต่เจ้า “ขัติยา” พระเอกของงานนี้ ยังโผล่มาให้เห็นบ้างในบางครั้ง
“บางคนมาไม่รู้กี่เที่ยวก็ไม่เคยได้เจอ ถึงขั้นต้มไข่ขึ้นมาเตรียมแก้บนก็มี”
“แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งโชคดีมาก มาแล้วเจอเลย ใกล้ๆ หน่วยนี่เอง มันมาไต่กินหนอนตามต้นไม้ใหญ่แถวนี้ พอถ่ายรูปได้ แกรีบลงจากดอยไปเอารูปลงเว็บแล้วกลับขึ้นมาใหม่” เจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่(มาก) เล่าติดตลกให้ได้ฮาแก้หนาวกันไป
แวะถ่ายภาพกันอยู่ครู่หนึ่ง เราจึงออกเดินทางต่อไปยัง “หมาย” ที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งต้องเลาะตามสันเขายาวไปอีกสิบกว่ากิโลเมตร ตลอดเส้นทางหากมองไปยังเทือกเขาฝั่งตรงข้ามจะเห็นฐานที่มั่นทางทหารของประเทศเพื่อนบ้านเป็นระยะ
ระหว่างทาง เราลองจอดแวะใกล้ๆ กับเขตงานสร้างถนนซึ่งดูเหมือนว่าจะเพิ่งทำเสร็จกันไปไม่นานนี้เอง เพื่อหาถ่ายภาพนกตามสองข้าง เพราะจุดนี้ถนนอยู่บนแนวสันเขา สองข้างทางเป็นผาชันลงไปเบื้องล่าง ทำให้ยอดไม้ใหญ่สูงขึ้นจากระดับถนนไม่มากนัก การมองหานกก็ง่ายขึ้น
ชาวคณะสามหน่อแยกย้ายกันหาจุดเหมาะๆ ของตนเองอยู่พักใหญ่ หัวหน้าคณะก็เดินกลับมาโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณเรียกให้ไปหา
“เจอแล้วๆ เมื่อกี๊ 3 ตัว โดดเด้งไปเด้งมาหากินหนอนตามไลเคนบนต้นนั้น” 
“แล้วถ่ายได้เปล่าพี่”
“ไม่ทันน่ะสิ พอตั้งกล้องเสร็จ ยังไม่ทันได้ถ่าย มันก็ไปต่อ แต่เอาน่ะ อย่างน้อยก็แค่ “ด้าน” ไม่ถึงกับ “แห้ว” รอสักพัก เดี๋ยวมันก็วนกลับมาอีก”
“ด้าน” ตามภาษานักถ่ายภาพนกแล้ว หมายถึง เจอตัวนก แต่ถ่ายไม่ทัน กร่อนมาจากคำว่า “กระสุนด้าน” ซึ่งก็พอใช้ปลอบใจตัวเองได้อยู่บ้าง แต่ถ้า “แห้ว” นั่นคือ ไม่เจอแบบบริบูรณ์ เป็นความขมขื่นอันน่าภิรมย์ เพราะมันหมายความว่า เราจะต้องกลับมาอีกครั้ง เพื่อมาวัดดวงกันใหม่ในโอกาสหน้า
ในขณะแรกเราตกลงใจจะลองเฝ้ารอดูอยู่ที่นี่กันอีกสักพัก เผื่อว่าเจ้านกขัติยาทั้งสามจะวนกลับมาหากินที่เก่า แต่เมื่อประเมินกันอีกครั้ง ก็กลัวว่ากว่าจะไปถึง “หมาย” ตลาด(นักนิยม)นกจะวายเสียก่อนเพราะพอแดดเริ่มตรงหัว นกทั้งหลายก็จะกลับเข้ารัง ล้อจึงเริ่มหมุนอีกครั้ง
จนในที่สุดก็ถึงจุดนัดพบ มีรถมาจอดอยู่ก่อนแล้ว 2 คัน คณะหนึ่งเดินโต๋เต๋ชนนกชมไม้ไปเรื่อย อีกคณะหนึ่งนั่งหลบอยู่ใน “บังไพร” ล่อนกโผล่มาให้ถ่ายภาพ ซึ่งใครชอบแบบไหนก็เลือกกันไปตามวิจารณญาณ
ไม่นานนัก นกหาดูยากก็เริ่มปรากฏกายให้เห็น เช่น กระรางอกลาย
แม้สุดท้ายจะไม่ได้ภาพนกขัติยามาเชยชม แต่แค่เพียงสัมผัสแห่งความสมบูรณ์ของผืนป่าอันยิ่งใหญ่ที่โอบล้อมเราอยู่นั้น ก็อิ่มเอมมากเกินพอแล้วสำหรับมนุษย์เมืองตัวกระจ้อย
ก่อนจะทิ้งความทรงจำประทับใจสุดท้ายไว้ที่นี่ เราย้อนกลับเส้นทางเดิมเพื่อเก็บสัมภาระ ระหว่างทางก็แวะร่ำลา ตชด. นายเดิมตามประสาคนไปลามาไหว้
“กลับแล้วนะครับ”
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอ เพิ่งมาแป๊ปๆ แล้วทำไมไม่ลงไปทางฝั่งนู้นล่ะ?”
“ฝั่งนู้น?!?!?! ฝั่งไหนหรือครับ”
“ก็ทางที่พวกคุณเพิ่งไปกันมานั่นไง เลยลงไปนั่น ออกตัวอำเภอฝางได้เลย ไม่ต้องอ้อมให้เสียเวลา ทางก็ดีกว่า ลาดยางตลอด ปกติเขาไม่ค่อยขึ้นมาจากแม่อายกันหรอก แต่เมื่อปีก่อนนั่นทางมันขาด นี่ก็เพิ่งซ่อมเสร็จไปเมื่อก่อนปีใหม่นี่เอง ”
“??!!?!?!?!?” ประโยคเด็ดสุดท้ายที่ทำเอาชาวคณะสามหน่อถึงกับอึ้งกับไปหมด
............................
การเดินทาง
ดอยลาง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก จ.เชียงใหม่ แต่สามารถขึ้นได้ 2 ทางคือ จาก จ.เชียงใหม่ ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 107 จนก่อนถึงตัว อ.ฝาง จะมีสามแยกเลี้ยวซ้ายไปตามถนนเลี่ยงเมือง ไปอีกไม่ไกลจะเจอสี่แยกไฟแดง มีป้ายทางขึ้น อช.ดอยผ้าห่มปก เลี้ยวซ้ายที่แยกไฟแดงเข้าไปนิดเดียวจะเจอสามแยกเฉียงขวา ถ้าเลี้ยวขวาไปตามทางแยก จะขึ้นไปยัง อช.ดอยผ้าห่มปก แต่ไม่ต้องเลี้ยว ให้ตรงขึ้นไปตามทาง จากนั้นถนนจะเริ่มขึ้นเขาสูงชันแต่เป็นทางลาดยางทั้งหมดยาวประมาณ 20 กม. ผ่านหมู่บ้าน ขึ้นสู่สวนส้ม จนเริ่มเข้าเขตป่าทึบ และจะถึงจุดสกัด ตชด. ดอยสันจุ๊ ผ่านด่านไปอีกราว 15 กม. ก็จะถึงจุดสกัดดอยผ้าห่มปก เลยต่อไปอีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึง ลานกางเต็นท์ดอยลาง ถนนช่วงนี้เป็นทางลาดยางแคบสลับกับทางดินบางส่วน และมีเนินชัน แต่รถเก๋งสามารถวิ่งได้ถ้าผู้ขับมีทักษะมากเพียงพอ
ส่วนอีกทางหนึ่ง เริ่มจาก อ.แม่อาย ไปตามทางหลวงสาย 1314 ราว 20 กิโลเมตร เลยบ้านปางต้นเดื่อไปไม่ไกลจะถึงจุดสกัดใหญ่ ลงไปขออนุญาตกับเจ้าหน้าที่ แล้วขับไปตามทางดินสูงชันอีก 18 กม.จะถึงลานกางเต็นท์ดอยลาง ถนนสายนี้ฤดูแล้งรถกระบะยังสามารถขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นฤดูฝนควรเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
ที่ลานกางเต็นท์ มีกระท่อมที่ทาง อช.ดอยผ้าห่มปกจัดไว้อำนวยความสะดวก 3 หลัง มีเครื่องนอนจำพวกถุงนอน แผ่นรองนอน จำนวนหนึ่ง มีห้องน้ำรวมสะอาด มีน้ำประปา แต่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอาหาร ต้องเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ประกอบอาหารกันมาเอง
ที่จุดสกัดดอยผ้าห่มปก ร้อย ตชด. 334 เป็นอีกจุดหนึ่งที่นิยมไปขออาศัยกางเต็นท์กัน แต่มักลืมไปว่า ไม่ใช่จุดบริการนักท่องเที่ยว เพียงแค่ไปขออาศัยกางเต็นท์ ซึ่งจะไม่มีห้องน้ำให้บริการ ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยกำจัดขยะ ดังนั้น ผู้ที่ไปพักที่นี่ ควรเคารพสถานที่ ต้องเก็บขยะที่เอาขึ้นไปกลับลงให้หมด ข้าวปลาอาหารและอุปกรณ์ต้องเตรียมไปให้พร้อม ห้องสุขาไม่มีน้ำประปา ดังนั้นไปขอใช้แล้วต้องทำความสะอาดและตักน้ำกลับไปเติมให้เหมือนเดิมด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น