วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แม่ฮ่องสอน ตะลอนทัวร์



1864 โค้ง จากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน และอาจต้องบวกเพิ่มความลำบากเข้าไปอีกหลายเท่าตัวในช่วงเวลาก่อนที่ถนนสาย 1095 จะเสร็จสมบูรณ์ คือปราการด่านสำคัญที่ทำให้เมืองเล็กๆ กลางหุบเขานี้ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่อาศัยของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์ แต่ชาวไทใหญ่ ถือเป็นประชากรหลักโดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง และเป็นต้นธารทางวัฒนธรรมที่ยังคงไหลรินหล่อเลี้ยงเมืองชายแดนให้มีวิถีง่ายงาม ไม่ต่างจากในอดีตมากนัก

ทว่าหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เดินทางมาพร้อมกับการพัฒนาและแรงโปรโมททางการท่องเที่ยว คือความเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มอัตราเร่งขึ้นทุกขณะ และน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณหลังจากประตูสู่อาเซียนได้เปิดอย่างเต็มรูปแบบแล้ว หากไม่มีการเตรียมพร้อมย่อมเป็นไปได้สูงที่เมืองงามซึ่งถูกหมายมั่นให้เป็น "ที่มั่นทางวัฒนธรรม" แห่งนี้ จะถูกรุกรานในนามของความเจริญ จนมีอนาคตไม่ต่างจากหลายๆ เมืองที่เติบโตแบบไร้รากไร้ความยั่งยืน
พิพิธภัณฑ์มีชีวิต

อาคารหลังเก่าที่ตั้งเดิมของ ร.ส.พ (องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์) ได้รับการปรับโฉมให้กลายเป็นศูนย์ประสานงานพิพิภัณฑ์มีชีวิต ทำหน้าที่เเสมือนห้องรับแขกของเมืองที่เปิดต้อนรับผู้มาเยือนมิได้ขาด

ชั้นล่างของอาคารมีข้อมูลและแผนที่ทางวัฒนธรรมไว้บริการผู้สนใจ ส่วนชั้นบนมีรายละเอียดของงานประเพณี รูปแบบสถาปัตยกรรม รวมถึงอาหารการกินของคนไต เรียกน้ำย่อยก่อนจะไปทำความรู้จักกับเมืองแม่ฮ่องสอนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

"พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ถือเป็นวิธีการจัดการเมืองรูปแบบหนึ่งที่ส่งเสริมกาอรนุรักษ์วัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ควบคู่ไปกับการพัฒนาเมือง ที่อยู่ในกรอบของเมืองอนุรักษ์ และยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการอนุรักษ์และพัฒนาให้ทั้งเมืองและผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล" ผศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าทีมวิจัยโครงการพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของเมืองแม่ฮ่องสอน ให้คำจำกัดความ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเชิงพื้นที่ (Area-Based Collaborative Research) หรือ ABC ภายใต้การ สนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สกว. โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552
"พิพิธภัณฑ์มีชีวิตเราไม่ได้มุ่งเน้นการอนุรักษ์วัตถุเพียงอย่างเดียว แต่ยังมุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์วิถีชีวิต ซึ่งเป็นมิติที่เกิดจากการหลอมรวมหลายสิ่งหลายอย่างและสั่งสมมาเป็นเวลานาน จนเกิดอัตลักษณ์พื้นถิ่นขึ้น มันจึงเป็นมากกว่าอาคารสถานที่ แต่เป็นกระบวนการการจัดการเมือง ที่ต้องเกิดจากภาคประชาชน ส่วนราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนต่างๆ"

ภาพที่ปรากฎของพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่อาคารขรึมขลังคลังสมบัติเก่า หรือแหล่งข้อมูลที่แน่นิ่ง หากแต่เป็นการเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีตกับวิถีชีวิตซึ่งยังพบเห็นได้ในปัจจุบันเข้าด้วยกัน โดยมีเจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้สื่อความหมาย เหตุนี้วิธีที่จะชมพิพิธภัณฑ์มีชีวิตให้ได้อรรถรส ควรเริ่มจาการอ่านข้อมูลเบื้องต้นที่ศูนย์ประสานงานฯ หยิบแผนที่ไปเป็นตัวช่วย หลังจากนั้นจะเลือกเดินหรือขี่จักรยานก็ตามอัธยาศัย
วิถีคนไต

ถนนสิงหนาท คือจุดเริ่มต้นในการตามรอยวิถีไต ตามประวัติเล่าว่าหลังจากที่ชาวไทใหญ่เข้ามาลงหลักปักฐานบริเวณนี้เมื่อปี พ.ศ. 2374 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณปีพ.ศ. 2417 เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ยกฐานะเป็นเมืองแม่ฮ่องสอนและแต่งตั้งให้ชาวไทใหญ่นามว่า “ชานกะเล” เป็นเจ้าเมืองคนแรกมีบรรดาศักดิ์เป็นพญาสิงหนาทราชา และมีเจ้าเมืองต่อมาอีก 3 คน จนเปลี่ยนระบบการบริหารราชการแผ่นดินมาเป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ถนนสายนี้ไม่เพียงเป็นหลักฐานของการสร้างเมือง เรื่องราวต่างๆ ยังถูกบันทึกไว้ในเค้าโครงของเรือนไม้อายุร่วมร้อยปี ซึ่งหลายหลังยังได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี อาทิเช่น บ้านโบราณของอาจารย์วัฒนา กวีวัฒน์ ซึ่งเป็นบ้านไม้สักหลังใหญ่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมโบราณพม่าผสมไทใหญ่ ตั้งแต่ปี 2429 หรือบ้านของลุงบุญเลิศ วิรัตนาภรณ์ สถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ สร้างเมื่อปี 2470 บ้านยอดคำเรือนแก้ว ที่มีลักษณะเป็นเรือนร้านค้า สร้างในปี 2480 เจ้าของเป็นชาวอินเดียซึ่งมาทำงานกับบริษัททำไม้บอมเบย์เบอร์ม่าในสมัยนั้น

"เอกลักษณ์ของบ้านไตคือเป็นเรือนเครื่องไม้ อย่างย่านนี้เป็นย่านคหบดีจะใช้ไม้สักเกือบทั้งหมด แต่ถ้าเป็นชาวบ้านอาจผสมผสานไม้ไผ่ นอกจากนี้บางหลังยังนำสังกะสีจากพม่าซึ่งส่วนใหญ่มาจากอังกฤษเข้ามาใช้ หรือบางหลังก็มีความเป็นล้านนาด้วย แสดงให้เห็นการผสมผสานทางวัฒนธรรม" วีรพจน์ การคงซื่อ อาจารย์จากคณะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา ให้ข้อมูล

บ้านไม้เรือนเก่าเหล่านี้แม้จะมีคุณค่าผ่านกาลเวลามาได้อย่างน่าภาคภูมิ แต่ก็ใช่ว่าจะทานทนต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดไป โครงการพิพิธภัณฑ์มีชีวิตจึงไม่ได้มีหน้าที่แค่นำชม แต่ภารกิจหลักคือการผลักดันให้เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ซึ่งปัจจุบันชมรมอนุรักษ์บ้านเก่าของเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนถือเป็นกำลังหลักในการป้องกันการเปลี่ยนมือและเปลี่ยนแปลงรูปแบบบ้าน

"เราไม่ได้มุ่งเน้นด้านการท่องเที่ยว แต่กิจกรรมดังกล่าวจะทำให้เจ้าของเกิดความภาคภูมิใจ จริงๆ แล้วอาคารแบบนี้ต้องเป็นที่ที่ให้เด็กและเยาวชนได้มาเรียนรู้ และเป็นแรงผลักดันให้เขารักษาสิ่งที่เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของตนเอง" อ.วีรพจน์ ย้ำ

เช่นเดียวกับวัดวาอารามซึ่งถือเป็นศูนย์กลางศรัทธาของชาวเมือง ได้มีความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจเพื่อให้เกิดการรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ แต่ที่ถือว่ามีความตื่นตัวอย่างมากเห็นจะเป็นเรื่องการสืบสานงานประเพณีและวัฒนธรรมการแต่งกาย
ว่ากันว่าหากต้องการชื่นชมสีสัน
ทางวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่แบบครบเครื่อง ตั้งแต่เสื้อผ้า อาหาร ดนตรีพื้นบ้าน ไปจนถึงพิธีกรรมความเชื่อ ต้องไปร่วมงานประเพณีปอยส่างลอง หรือการบรรพชาสามเณรในช่วงฤดูร้อน ซึ่งสืบทอดกันมายาวนาน หัวใจของงานนี้อยู่ที่การทำบุญร่วมกัน สะท้อนความผูกพันระหว่างผู้คนกับพุทธศาสนา

ลุงบุญเลิศ วิรัตนาภรณ์ ปราชญ์ท้องถิ่นและประธานชมรมอนุรักษ์บ้านเก่า บอกว่า แม้ปอยส่างลองจะเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงของจังหวัด แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากงานใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก็คือสายใยของชุมชน

"สมัยก่อนเราจะมีสภาน้ำเน่ง (น้ำชา) เวลามีเรื่องจะปรึกษาหารือกัน อย่างบ้านไหนจะจัดงาน ที่บ้านก็จะให้เด็กต้มน้ำชา เตรียมถั่ว แล้วตั้งวงคุยกัน ทำให้มีความสนิทสนมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน"

พร้อมๆ ไปกับความสวยงามของงานประเพณี สิ่งที่ต้องเร่งรื้อฟื้นขึ้นมาจึงเป็นความสัมพันธ์ของผู้คน สุเทพ นุชทรวง อดีตนายกเทศมนตรีเมืองแม่ฮ่องสอน หัวขบวนอีกคนของพิพิธภัณฑ์มีชีวิต เห็นว่าการรื้อฟื้นสภาน้ำเน่งเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความเห็นจะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของคนท้องถิ่น

"ในอดีตชาวบ้านมีการสื่อสารรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวในสังคมเป็นอย่างดี จนมีคำกล่าวว่า "เข็มตกที่สนามบิน คนได้ยินกันทั้งเมือง" เราจึงมีการจัดตั้งสภาผู้เฒ่า สภาน้ำเน่ง เชิญผู้สูงอายุมาร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งคนสูงอายุถือเป็นตัวอย่างให้แก่ลูกหลาน" อดีตนายกฯ สุเทพ กล่าว

แน่นอนว่าไม่เพียงผู้เฒ่าผู้แก่ที่ถือเป็นเสาหลักให้กับพิพิภัณฑ์มีชีวิต การดึงเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมยังเป็นโจทย์ท้าทายในการกำหนดอนาคตของเมืองแม่ฮ่องสอน
ที่มั่นทางวัฒนธรรม

กวามไต (ภาษาพื้นถิ่นแม่ฮ่องสอน) กุ๊บไต (หมวกสานแบบไทใหญ่) ก๋นห่งย่ง (กางเกงขาก๋วย) ส่วยทะมิน อา ละหว่า (ขนมไทใหญ่) เฮือนไต ดนตรีพื้นบ้าน และอีกมากมายที่ยังไม่ห่างหายไปจากวิถีชีวิต คือเสน่ห์ที่ไม่ต้องปรุงแต่งให้มากมาย ทว่าลมหายใจของเมืองกลับขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้คน ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของ ผู้สืบทอด คนเล่าเรื่อง และคนที่จะรักษาอัตลักษณ์นี้ร่วมกัน

"เมืองแม่ฮ่องสอน ปู่ย่าตายายอนุรักษ์ไว้ให้เป็นเมืองมรดกไต ผมมาเป็นนายกเทศมนตรีตั้งแต่ปี 2546 เห็นความสำคัญ และปักธงว่าแม่ฮ่องสอนต้องเป็นเมืองอนุรักษ์วัฒนธรรม ผมก็คิดอนุรักษ์ ชุมชนก็พร้อมอนุรักษ์ ก็มาพบกับ ดร.ปุ่น และทีมวิจัยของ สกว. ถือเป็นโชคดี แนวคิดการทำพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ไม่เหมือนพิพิธภัณฑ์ที่เอาของมารรวมกันไว้แล้วจบ แต่ของเรา มีสิ่งดีๆ อยู่ที่ไหนก็ให้อยู่ที่นั่น" สุเทพ นุชทรวง อดีตนายกฯกล่าวถึงการทำงานที่ผ่านมา ขณะที่ ปกรณ์ จีนาคำ นายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน ยืนยันจะสานต่อโครงการดังกล่าว

"Living Museum คือเมื่อคนเดินเข้ามาในเมือง เมืองทั้งเมืองคือพิพิธภัณฑ์ ศูนย์ประสานงานคือประชาสัมพันธ์ ส่วนพนักงานคือประชาชนทั้งหมดที่สามารถอธิบายวิถีชีวิตวัฒนธรรมของตนเองได้ แต่คำนี้อาจจะยากในการทำความเข้า ใจกับชาวบ้าน เราเลยพยายามสื่อสารกับชุมชนด้วยข้อความสั้นๆ ว่า Living Museum ก็คือ อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี"

ในมุมของคนที่ก่อร่างสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมา ดร.ปุ่น ยอมรับว่า สิ่งที่ลำบากมากคือการเริ่มต้น แต่ที่ลำบากมากว่านั้น คือทำสิ่งที่เริ่มต้นไว้ให้ยังอยู่และยั่งยืน

"พิพิธภัณฑ์มีชีวิตไม่ใช่การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง หรืออนุรักษ์แบบหัวชนฝา แต่เป็นความตั้งใจของคนรุ่นหนึ่งที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ปู่ย่าตายายได้สะสมไว้และอยากจะถ่ายทอดคุณค่าเหล่านี้สู่คนรุ่นต่อไป ขณะเดียวกันก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้คนเมืองตื่นรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และทำให้มีการเปิดพื้นที่สาธารณะ เพื่อส่งเสริมให้คนมีปฏิสัมพันธ์กัน คุยกัน ร่วมมือทำอะไรด้วยกัน เพื่อชุมชนหรือเมืองของตัวเอง"

โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่แม่ฮ่องสอนกำลังเผชิญหน้ากับกระแสการพัฒนา การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้คนในเมืองเล็กๆ ที่กำลังถูกกัดเซาะทั้งปราการทางธรรมชาติและปราการทางวัฒนธรรมจึงเป็นความหวังสุดท้าย

"เราอยากเป็นฝั่งหนึ่งของทางออก เป็นคำตอบให้กับอีกหลายๆ เมืองที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง" ดร.ปุ่น กล่าวทิ้งท้าย

เพราะหากทำสำเร็จ...ที่นี่จะเป็นที่มั่นสุดท้ายทางวัฒนธรรม เป็นรากที่หยั่งลึกรอวันงอกงามออกดอกผลให้คนรุ่นหลัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น