มาที่บางสะพานน้อยครั้งแรก มาเจอพี่แต้ม ชาวประมงที่มีอาชีพหาหอยกาบ แกพาออกทะเลไปดูการใช้หน้ากากลิง แบบที่มีเครื่องปั้มลมบนเรือแล้วใช้สายยางเป็นท่ออากาศ พี่เขามีถุงตาข่ายมัดใส่เอว มือถือค้อนเล็กๆ ใส่หน้ากากเสร็จแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงน้ำ เห็นแต่ฟองอากาศปุ๋งๆ ขึ้นมา
ส่วนผมหยิบหน้ากากใส่ท่อสน๊อกเกิล ตีนกบ ที่หอบไปจากกรุงเทพ แล้วโดดน้ำ ลอยตัวดู ปรากฏว่าน้ำขุ่นมองเห็นแต่ฟองอากาศพี่เขาที่ลอยตัวดันน้ำขึ้นมา ต้องกลั้นใจแล้วหักตัว ขาสลับตีน้ำตามลงไป ในความลางเลือนของท้องทะเลประจวบ เห็นพี่เขาเดินบนพื้นไปเรื่อยๆ มีสายอากาศโยงอยู่ด้านบน ตามองหาหอยกาบ ดูอยู่ได้ไม่นานก็ต้องขึ้นมาหายใจ แล้วดำขึ้นลงอยู่แบบนี้ตั้งครึ่งค่อนวัน ครั้นได้มาเยือนทะเลที่นี่อีกครั้ง จึงอดมองทะเลไปไกลๆ ในหมุดหมายที่เคยมาดำ ระลึกถึงครั้งยังวัยห้าวกับท้องทะเลบางสะพานน้อยไม่ได้
ฝั่งแดงปรากฏแก่สายตามาแต่ครั้งนั้น ชายฝั่งที่เป็นหน้าผา แดงเถือกไประยะทางยาวนับสิบกิโลเมตร มองเห็นได้แต่ไกล ยิ่งยามที่แดดส่องเข้า เหมือนใครเอาชาดมาทา ยิ่งพอได้ไปดำน้ำที่เกาะสังข์ ซึ่งอยู่ใกล้กับฝั่งแดงไม่น่าเกิน 2 กม. ก็ยิ่งเห็นว่าที่แท้แนวสีแดงที่เห็น มันคือหน้าผาดีๆ นี่เอง หน้าผาสีแดงที่เป็นทางยาวด้านล่างคือทะเลที่คลื่นลูกแล้วลูกเล่าตีเข้าหาหน้าผาสีแดงนี้ วันที่ผมไปเยือนเป็นช่วงน้ำลง หาดทรายด้านล่างหน้าผาจึงพ้นพันธนาการของผืนน้ำ โชว์เม็ดทรายสีน้ำตาลอมเหลือง ยิ่งยามที่แดดบ่ายส่องกระทบมันกลับดูเป็นสีแดงซะอย่างนั้น
ก้อนหินศิลาแลงเล็กบ้างใหญ่บ้าง กระจายกันอยู่ตามชายหาด ยิ่งน้ำลงมากเท่าใด ก็เหมือนหาดจะกว้างขึ้นเท่านั้น เกาะสิงห์ เกาะสังข์ที่เคยมาดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น พอน้ำลงแทบจะลอยตัวไม่ได้ ปะการังจะติดหน้าอก แต่ปะการังน้ำตื้นเยอะมาก และที่ใหญ่กว่าเพื่อนคือเกาะทะลุ ที่เมื่อครั้งนั้น ไม่มีบ้านคนอยู่บนเกาะสักหลัง น้ำใสราวกระจก วันฟ้าใส แดดจัด เกาะทั้งสามจึงดูโดดเด่นในท้องทะเลกว้าง
แต่ความมหัศจรรย์กลับไปอยู่ที่ฝั่งแดงและหาดแดงแห่งนี้ที่ดูเหมือนว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในบ้านเรา ที่ชุมพร มีโค้งหินเป็นสีแดงแต่ที่นั่นเป็นหินทรายแดง แต่ที่นี่เป็นหินศิลาแลง ท่านทฤษฎิ์ มาน้อย ผอ.ส่วนธรณีวิทยา สำนักธรณีเขต 3 (ปทุมธานี) ที่ดูแลเรื่องธรณีไปถึงประจวบฯ กรุณาอธิบายว่า เดิมตรงนี้น่าเป็นทางน้ำโบราณที่มีการพัดพาเอาตะกอนกรวดหินดินทรายมาทับถมกันเป็นชั้นๆ ชั้นบนที่เป็นศิลาแลงหนาราว 2 เมตรนั้นเกิดจากการขึ้นลงของน้ำใต้ดินที่มีการพาเอาสนิมเหล็กมาประสานกรวดหินต่างๆ ทับถมเป็นชั้นๆ พอโดนอากาศก็จะแข็ง ส่วนชั้นล่างๆ ลงมาที่มีน้ำยังมีการขึ้นลงอยู่ สนิมเหล็กก็ประสานไม่ได้จึงเห็นว่าชั้นล่างลงมาหินหน้าผานี่ยังร่วน ไม่แข็ง ทนเหมือนศิลาแลงด้านบน ธาตุเหล็กที่ยังคงละลายมาก็จะมาอาบผิวหน้าผาจึงเห็นเป็นสีแดง มีการคาดเดาอายุทางธรณีว่าน่าจะเป็นแสนปีมาแล้ว
น้ำทะเลเข้ามากัดเซาะจนหินร่วงหล่นลงจนเป็นหน้าผา ส่วนที่เป็นศิลาแลงที่ตกลงมาจึงยังเห็นเป็นก้อนๆ ตามชายหาด ส่วนที่ไม่ทนกับการกัดกร่อนจึงถูกน้ำทะเลละลายไป อาจเพราะเหตุนี้ก็ได้เราจึงเห็นว่าหาดทรายที่นี่ออกสีแดงๆ ขณะเดียวกันที่เห็นกองหินกรวดผิวมนมากมายกองกันจนเป็นแนวนั้นมาจากกรวดที่ทับถมกันนั่นเอง เป็นหินทรายที่มีอายุ 60 - 214 ล้านปีที่อยู่ด้านใต้ลงไปแล้วถูกน้ำพามา ถูกน้ำถูกคลื่นขัดเกลาจนเห็นเป็นรูปร่างมน ส่วนผิวที่ไม่มันเพราะเนื้อสมานของหินยังไม่ดี ส่วนการที่เห็นมากองกันจนเป็นหาดกรวดมนนั้น ผอ.ทฤษฎิ์ บอกว่าคลื่นเป็นตัวจัดแต่งและนำมากองรวมกัน
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ชั้นหินที่นอกจากจะเห็นเป็นศิลาแลงแล้ว ยังมีหินทรายที่แข็งตัวปะปนแทรกตัวในชั้นหินกรวดมน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของหินชุดโคราช และแผนที่ธรณีของประเทศไทยก็ระบุว่าย่านนี้เป็นหินชุดโคราชซึ่งมักจะเจอซากไดโนเสาร์อยู่ด้วย และเคยมีการขุดเจอซากไดโนเสาร์ที่กระบี่ที่มีหินชุดโคราชนี้เช่นกัน ไม่แน่ว่าที่นี่ถ้าดูดีๆ ตามหน้าผานี้อาจจะเจอซากฟอสซิลไดโนเสาร์ก็ได้
มาเห็นหน้าผาแดงที่ตัดฉาก สูงราว 7-10 เมตรยาวเหยียดแบบนี้ แล้วมีคนมาอธิบายให้ความรู้ทางธรณี จึงพอกระจ่างถึงหาดและหน้าผาสีแดงได้อย่างเข้าใจ และมุมมองหนึ่งของแนวผาแดงที่มองเห็นหน้าผาหินยาว มีคลื่นลูกโตๆ โถมใส่ บนหาดมีกองหินศิลาแลงกระจายอยู่แบบนี้ นึกถึงหาดของเมืองนอก แต่ที่นี่คือ หาดฝั่งแดงของไทย หนึ่งเดียวเหมือนกัน
ที่นี่ยังมีวิถีประมงที่เหมือนในอดีตครั้งที่นักท่องเที่ยวยังไม่เข้ามายุ่มย่ามบนหาดมากนัก เราจึงเห็นชาวบ้านเอาแหมาทอดในน้ำทะเล เห็นเรือประมงลำเล็กจอดรอเวลาออกทะเล ธงลอบสีสดสะบัดปลิวยามต้องแดดจึงดูโดดเด่น เด็กๆ ชาวทะเลตามพ่อแม่ลงมาที่หาด ใช้เวลาช่วงน้ำลง แกะหอยตามก้อนหิน นกยางทะเลเดินหากินอย่างอ้อยอิ่งเพราะไม่มีคนมากวน ยังเหลือหาดแบบนี้อีกกี่ที่กันเล่าในบ้านเรา
บางสะพาน ทับสะแก ถือเป็นย่านปลูกมะพร้าวแหล่งใหญ่ของบ้านเรา แต่เมื่อปีสองปีที่ผ่านมาเจอวิกฤติหนอนที่กัดกินทำให้ต้นมะพร้าวล้มตายเป็นอันมาก แต่เหนือหน้าผาของฝั่งแดง ผมเห็นต้นมะพร้าวที่เอนต้นแทบจะแนบไปกับพื้น ไม่ใช่ต้นสองต้น แต่เป็นสิบๆ ต้น ดูแล้วเหมือนมะพร้าวมันง่วงนอน เอียงเอนแทบจะแนบดินกันเป็นแถว แปลกดีและเพิ่งเคยเห็นมะพร้าวง่วงนอนมากๆ ก็ที่นี่เอง
ชาวบ้านแถวนี้ พูดสำเนียงเหน่อตะวันตกอย่างเพชรบุรี-เมืองกาญจน์ แต่ก็พูดใต้ได้ด้วย ถือเป็นย่านสองภาษาที่มีเอกลักษณ์เด่นไม่มีที่ไหนในบ้านเรา สวนมะพร้าวที่ร่มรื่น ทางใบไหวโยกไปตามแรงลมทะเลนั้น ถูกรั้วล้อมไว้ดิบดี พร้อมป้ายปัก “ที่เอกชน ห้ามบุกรุก” ผลมะพร้าวตกร่วงลงพื้นโดยไม่มีใครไปเก็บ เห็นแล้วได้แต่เสียดาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น