วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บ้านกรวด บุรีรัมย์



หลังจากที่ไปนอนค้างที่ละหานทรายมาหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นไปรู้จะไปไหนก็ขับรถเรื่อยเปื่อยไปบ้านกรวด พอไปถึงอำเภอเล็กๆ นี้ นั่นแหละถึงได้รู้ว่า อำเภอนี้มีของดีอยู่เหมือนกัน หนำซ้ำทำเลที่ตั้งยังไปไหนต่อไหนได้อีกเพียบ จะเข้าเขต อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อไปดูปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด หรือปราสาทตาควายก็ได้ หรือจะแยกไปทางปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทพนมรุ้งก็ได้อีก เบื่อขึ้นมาจะวนกลับละหานทรายไปสระแก้วก็ได้ ไปโคราชได้อีก ถ้าคนชอบขับรถเที่ยว ผมว่าบ้านกรวดไม่ขี้เหร่เชียวละ

แล้วอะไรบ้างที่ว่าเป็นของดีของที่นี่ เริ่มจากความสงบของเส้นทางที่ไม่ได้พลุกพล่านเหมือนเส้นทางไปเมืองท่องเที่ยวทั่วไป จึงขับรถเพลินๆ ดูนั่นดูนี่ไปได้ระหว่างทาง มาจากละหานทรายราวๆ 16 กม. จะถึงบ้านสายตรี 4 ทางขวามือ มีป้ายทางเข้าแหล่งหินตัด ซึ่งก็เป็นที่เดียวกันกับวัดป่าลานหินตัด วัดนี้เป็นวัดป่า บรรยากาศก็เลยค่อนข้างเงียบ สงบ ไม่เห็นพระเณรมาเดินเพ่นพ่าน แต่จะมีป้ายบอกทางเข้าไปดูลานหินตัดอย่างชัดเจน

หินตัดที่ว่านี้เป็นก้อนหินทรายที่จะเอาไปสร้างเป็นปราสาทขอมนั่นเอง เห็นร่องรอยเยอะมาก ทั้งที่ตัดไปแล้ว ทั้งที่ขึ้นรูปเป็นก้อนสี่เหลี่ยม และที่เกลาๆ พอเห็นแนว อันที่จริงบ้านเรามีร่องรอยตัดหินอย่างนี้หลายแห่ง แต่ละแหล่งน่าจะเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างปราสาทขอมที่ไม่ไกลกันนัก ครั้นหมายตาไปที่กลุ่มปราสาทตาเมือน ที่นั่นก็มีหินทรายเองอีก หรือเมืองต่ำ-พนมรุ้ง ก็ไม่แน่ใจว่าใช่หินจากที่นี่หรือไม่ เลยไม่กล้าฟันธงว่าควรจะเอาไปสร้างปราสาทที่ไหน

ใกล้ๆ กัน เลยไปไม่กี่ซอยจะมีทางเข้าอ่างเก็บน้ำห้วยเมฆา อ่างน้ำนี้พอช่วงหน้าแล้งน้ำลงไปมากจะเป็นแนวสนามหญ้าชายน้ำ น่านั่งเล่น มีบางคนมานั่งตกปลา มองไปด้านหลังเห็นแนวเขาในเขตอุทยานฯตาพระยา น้ำในอ่างนี้ก็มาจากแหล่งรับน้ำในอุทยานฯ ตาพระยานั่นเอง ด้านหน้าทางเข้ามีสวนยูคาลิปตัสที่ต้นสูงร่วม 30 เมตร ขึ้นกันเป็นป่า น่าจะเป็นผลมาจากการปลูกป่าเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่สงสัยว่าแล้วทำไมต้องปลูกยูคาลิปตัส

เมื่อเข้าไปที่ตัวอำเภอบ้านกรวด ใกล้ๆ กับตลาดสด จะมีซากปราสาทอยู่หลังหนึ่ง ชาวบ้านเรียก ปราสาททอง ตัวปราสาทนั้นพังลงไปมากกว่า 80% เหลือแต่ฐานศิลาแลงพอให้เดาออกบ้างว่าที่ตั้งบนฐานศิลานั้นเป็นปรางค์ 3 หลัง วางตัวในแนวเหนือใต้เรียงกัน ด้านหน้าปรางค์หลังกลางยังคงมีเสากรอบประตูตั้งปรากฏให้เห็นทางทิศตะวันออก อีกทั้งยังปรากฏซากอาคาร 2 หลัง อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ มีเสากรอบประตูตั้งอยู่ เหมือนหันหน้าอาคารเข้าหาปรางค์

จากตำแหน่งที่ตั้ง อาคารสองหลังนี้น่าจะเป็นบรรณาลัย มีกำแพงที่สร้างจากอิฐบนฐานศิลาแลง แต่บางด้านส่วนที่เป็นอิฐหายไปหมดเหลือแต่ฐานศิลา ด้านหน้าปรางค์ประธานในแนวกำแพงมีมีซุ้มประตู(โคปุระ)ทางด้านทิศตะวันออก ตัวปราสาทจะมีสระน้ำ เป็น U ล้อมปรางค์ เว้นด้านหน้า(ทิศตะวันออก) กับอีกแห่งเป็นสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปรางค์ไม่ห่างกัน นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ก็น่าจะเป็นช่วงนครวัด-บายน นี่แหละ ดูเหมือนชาวบ้านจะไปบนบานกันอยู่บ่อยๆ ผมเห็นมีเครื่องเซ่นไหว้ไปวางตรงปรางค์ประธานบ้าง ตรงโคปุระบ้าง ยิ่งต้นก้ามปูล้อมรอบจนดูครึ้มแบบนี้ ถ้าตอนกลางคืนคงวังเวงเหมือนกัน

นี่คือปราสาททองบ้านกรวด ที่ผมลองเข้าไปค้นหาในอินเตอร์เนตแล้ว เนื้อหาลอกกันมาไม่ผิดเพี้ยนว่าเป็นปราสาทขอมที่สวยงามมาก พังจนเดารูปร่างไม่ออกนี่นะสวยงามเลยออกไปจากตัวเมืองมุ่งหน้าไปทาง อ.พนมดงรักของสุรินทร์ แต่ห่างเมืองไปราวๆ 8 กม. จะถึงบ้านสายโท 5 มีทางโค้ง แล้วเข้าไปตามทางลูกรังไปเรื่อยๆ จะอ้อมบึงน้ำที่มีบัวหลวงบานสะพรั่ง เพื่อไปตามดูปราสาทบายแบก ที่ตอนนี้อยู่กลางสวนยางพาราไปเรียบร้อยแล้ว

ปราสาทบายแบกแห่งนี้เป็นปราสาทที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ที่เหลืออยู่ตอนนี้คือ ปรางค์ที่สร้างด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ไม่มีการสอปูน 3 หลัง อยู่บนฐานเดียวกัน เรียงกันแบบหน้ากระดานหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ปรางค์แต่ละหลังมีทางเข้าด้านเดียว(หันไปทางตะวันตก) อีก สามด้านเป็นประตูหลอก ยังมีเสากรอบประตูเป็นเสาแปดเหลี่ยมมีลวดลาย ปรางค์หลังทางทิศเหนือยังคงเห็นส่วนยอดปรางค์บางส่วนหลงเหลือ แต่อีกสองหลัง ส่วนยอดพังทลายลงมาหมด มีกำแพงแก้วและซุ้มประตูล้อมไว้ สร้างด้วยอิฐไม่สอปูน สร้างรอบปรางค์เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทิศอื่นสร้างจนเกือบติดตัวปรางค์ ส่วนด้านทิศตะวันตกทางหน้าปรางค์จึงพอเหลือพื้นที่ว่างและยังเห็นร่องรอยของหินกรอบประตูอยู่

แม้ปรางค์แห่งนี้จะพังทลายลงไปมากและเป็นปรางค์ขนาดเล็ก แต่ยังคงปรากฏประติมากรรมหินทรายต่างๆ ที่ตกแต่งปรางค์อย่าง หินแท่นโยนี เสาประดับกรอบประตู ปรางค์จำลองและบัวยอดปราสาท นักโบราณคดีพิจารณาจากชิ้นส่วนและสถาปัตยกรรมของปราสาทที่หลงเหลือ สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เช่นกัน เพื่อใช้เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู

หมดไปสองปราสาท แต่ในเส้นทางนี้แค่ห่างตัวอำเภอแค่หนึ่งกิโลเมตร จะมีทางเข้าไป ฐานปฏิบัติการช่องโอบก ทางขวามือ เข้าไปราว 10 กม. ก็จะไปถึงฐาน ตชด. ติดกับชายแดนกัมพูชา สมัยที่ยังรบๆ กัน ทหารเพื่อนบ้านบุกเข้ามาในช่องเขาที่ชื่อโอบกจากแผ่นดินลุ่มต่ำเขตเขมร ขึ้นมาโจมตีทหารไทย เกิดการสู้รบกันหลายวันจนล่าถอยไป เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย ตอนนี้ในฐานทหารมีหอสูงให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ฝั่งเขมร ที่เป็นที่ราบในที่ต่ำกว่าเรา 

เวลาที่ลมพัด ชายธงชาติไทยบนหอพัดโบกสะบัด ทำให้หวนรำลึกถึงวีรกรรมของทหาร ตำรวจที่อยู่ชายแดนที่เฝ้าหวงแหนดินแดนทุกตารางนิ้วให้คนไทยโดยเอาชีวิตและเลือดเนื้อแลกไว้ เสียดายที่มายุคนี้ดูเหมือนนักการเมืองจะเอาศักดิ์ศรีของประเทศชาติ (หรืออาจรวมทั้งดินแดนบางส่วน) ไปแลกเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องอย่างน่าละอายที่สุด

ไปช่องโอบกแล้วสูดกลิ่นอายความเป็นไทยให้เต็มปอด แล้วภูมิใจว่านี่เป็นบ้านเมืองของคนไทย ที่มีดีทุกถิ่นที่ แม้แต่บ้านกรวด อำเภอเล็กๆ ยังมีดีไว้อวด หาโอกาสไปดูของดีที่บ้านกรวดกัน...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น