วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สวนมักกะสัน รู้จักกันหรือไม่?



ทันทีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงโครงการหยิบแผน "มักกะสันคอมเพล็กซ์" ขึ้นมา "ปัดฝุ่น" ใหม่ พื้นที่กว่า 500 ไร่ย่านมักกะสันก็ "ร้อน" ขึ้นมาทันที
การตัดพื้นที่ครึ่งหนึ่งออกเป็นสวนสาธารณะ สร้างถนนจุดเชื่อมต่อทางเข้าออก ส่วนที่เหลือ สำหรับคอมเพล็กซ์ที่เชื่อมโยงเส้นทางได้ทั้งรถไฟฟ้า แอร์พอร์ตลิ้งค์ และเส้นทางคมนาคมอื่นๆ ซึ่ง รฟท. มีแผนพัฒนาธุรกิจใช้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่างๆ อาทิ งานเคาน์ทดาวน์ปีใหม่ สงกรานต์ และลอยกระทง เป็นต้น
...หลังจากต้องพับโครงการไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
กระแสการพัฒนาดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการตั้งคำถาม และความสนใจเกี่ยวกับ "มักกะสัน" มากขึ้น ผ่านหน้าเพจโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมภายใต้ชื่อ "เราอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์"
ยอดไลค์หลักหมื่นภายในเดือนกว่า ที่สะท้อนการตื่นตัวของผู้คนที่มองเห็นดอกผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และกิจกรรมรณรงค์ที่ไม่ต้องตะโกนด่าทอ หรือออกไปสร้างความวุ่นวายเพื่อให้สังคมหันมารับฟังความต้องการ
ภายใต้แนวคิด รวมทั้งจุดยืนของ "ทางออก" ที่ "ดีไซน์" ร่วมกันได้ พื้นที่สีเขียวกลางใจเมืองของมักกะสันจึงกลายเป็นจุดสนใจ และกำลังถูกนิยามใหม่
อยากให้จึงอยากเห็น
เพราะพื้นที่ขนาด 400 ไร่ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ และห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินเพชรบุรี รวมทั้งถนนหนทางที่เชื่อมต่อกันได้สะดวก มักกะสันจึงกลายเป็น "ทำเลทอง" ที่สามารถทำรายได้อย่างมหาศาล
แนวคิด "มักกะสันคอมเพล็กซ์" ที่เพียบพร้อมไปด้วย โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ ศูนย์แสดงสินค้า และศูนย์การค้าแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้น
"ทำเลมักกะสันนี้เป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯ เรียกร้องกันมากอยากให้มีการพัฒนาพื้นที่กลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้เต็มที่ จากที่ปล่อยให้รกร้างและไม่เป็นระเบียบ และไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้สมกับเป็นพื้นที่ผืนใหญ่ใจกลางเมือง ให้เป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ ที่จะต่อยอดสร้างกิจกรรมได้อีกมากมาย" นั่นคือสิ่งที่ ประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยหมายมั่นปั้นมือจะทำให้สำเร็จ เมื่อครั้งให้สัมภาษณ์กับสื่อ
แต่เมื่อดูจากแบบแนวคิดของโครงการ ยังพบว่า บึงมักกะสันที่ใช้เป็นพื้นที่รองรับน้ำในฤดูน้ำหลากก็ยังโดนถมทิ้ง "โรงซ่อมรถไฟ" งานสถาปัตยกรรมที่คว้ารางวัลอนุรักษ์ดีเด่น มีอายุมากว่า 91 ปีก็จะต้องรื้อถอน และต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นกินบริเวณไม่ต่ำกว่า 1 ใน 8 ของพื้นที่ก็เตรียมถูกโค่นทันทีที่โครงการมีการอนุมัติ
นั่นถือเป็นความสูญเสียที่คนกลุ่มหนึ่งคิดว่า "ส่งผลกระทบ" และ "ไม่สามารถประเมินค่าได้"
เรื่องนี้จำเป็นต้องถูก "บอกต่อ" ซึ่งวันที่การรวมกลุ่มทำกิจกรรมผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กดูจะเป็นอะไรที่แยกกันไม่ออกไปแล้ว วิธีนี้ จึงน่าจะ "เข้าท่า" และ "เข้าถึง" กลุ่มเป้าหมาย คือ "คนเมือง" ได้ไม่ยาก
"เราอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์" จึงกลายเป็นทั้งชื่อกลุ่ม เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย ฯลฯ ซึ่งที่สุดแล้ว หมายถึงพื้นที่การมีส่วนร่วมระหว่าง คน - เมือง - ธรรมชาติ - การพัฒนา
"พวกเราเป็นคนธรรมดาที่เรียนและใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ หลายคนทำธุรกิจส่วนตัว และหลายคนก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่"รุ่งโรจน์ รัตนพิเชฐกุล ในบทบาทของนักศึกษาปริญญาเอก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หนึ่งในตัวแทนของกลุ่มเกริ่นถึงจุดเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม
จากการแชร์ภาพถ่ายดาวเทียมที่ทำให้เห็นภาพของมักกะสันมุมสูงในหมู่เพื่อน แล้วมีคนเอาไปแชร์ต่อ จนเกิดการพูดคุยถึงความต้องการในมุม "คนกรุงเทพ" ด้วยกัน แตกแขนงเป็นไอเดียต่างๆ และนำไปสู่การโยนประเด็นออกไปยังสาธารณะในที่สุด
ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมทั่วไป ภาพสวนสวยๆ ในเมืองใหญ่ ข้อความรณรงค์ ไปจนถึงรูปแบบการดีไซน์ที่สามารถทำให้เมืองกับธรรมชาติเดินจูงมือไปด้วยกันได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกนำมาแบ่งปัน และร่วมพูดคุยอยู่บนหน้าเพจ
ทั้งหมด ก็เพื่อ...
พัฒนาพื้นที่มักกะสันเพื่อประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลัก (ไม่ใช่เพื่อผลกำไรด้านธุรกิจ) เช่น สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ ห้องสมุดในสวน พื้นที่กิจกรรม ฯลฯ
รักษาพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ให้เป็นปอดของกรุงเทพฯ ให้ได้มากที่สุด
ทำประชาพิจารณ์ หาความต้องการที่แท้จริงของคนกรุงเทพฯ ว่าต้องการให้พื้นที่นี้ถูกพัฒนาไปในทิศทางใด
"มันไม่ใช่แค่พื้นที่ มันคือความเข้าใจ และเห็นพ้องว่า คุณภาพชีวิตเราจะอยู่ตรงไหน อาทิ พื้นที่สีเขียวที่เรามีน้อย ปัญหามลภาวะ ปัญหาความร้อนต่างๆ กรุงเทพของเราน่าจะขาดอะไร น่าจะเติมอะไร" จตุพร ตันศิริมาศ ตัวแทนกลุ่มอีกคนอธิบาย
และกลายเป็น "เชื้อไฟ" ที่ทำให้คนเมืองทั้งออนไลน์ และออฟไลน์หันมามองเห็นมักกะสันมากขึ้นด้วย
ทำไมต้อง "มักกะสัน"
จากชุมชนชาวอินโดนีเซียจากมะกัสซาร์ (ตอนใต้ของเกาะเซลีเบส) สู่ชื่อ "หมู่บ้านมักกะสัน" และบึงขนาดใหญ่ที่การรถไฟฯ ขุดขึ้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปรียบ "บึงมักกะสัน" นี้เสมือน "ไตธรรมชาติ" ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นแหล่งเก็บกักและระบายน้ำในฤดูฝน
จนถึงวันนี้ ทุกอย่างกำลัง "เปลี่ยน" ไป
"ภาพที่เห็นเป็นเหมือนโรงงานเก่าๆ โกดังเก่าๆ ตรงนั้นคือโรงซ่อมรถไฟ ซึ่งได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์จากสมาคมสถาปนิกสยาม ที่มองไม่เห็นเพราะคนไม่เคยเข้าไป และไม่ได้รับการโปรโมทให้คนเข้าไปใช้ร่วมได้ เพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟ โดยตัวมันเองมันถูกบัง ด้านหนึ่งเป็นตึกขนาน และอีกด้านก็เป็นแอร์พอร์ตลิงก์ อีกด้านเป็นทางด่วนระยะที่สอง ทั้งๆ ที่เป็นต้นทุนที่เรามีอยู่แล้ว ทั้งบึงมักกะสัน มีอาคารอนุรักษ์ รอแค่การจัดการให้มันดีขึ้น ในที่นี้หมายถึงสำหรับทุกๆ คนนะ" รุ่งโรจน์ เปิดประเด็น
ถ้าในความเห็นของ จตุพร พื้นที่รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ขนานกับถนนสายหลัก และรางรถไฟฟ้ากลางใจเมือง เมื่อรวมกับน้ำหนักของวัตถุประสงค์ (โดยเฉพาะ) ข้อ 2 เป็นพื้นที่สีเขียวของรัฐแปลงสุดท้าย และประชาชนมีสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญ ข้อ 4 ...สามารถใช้เป็นปอดของกรุงเทพฯ ได้จริง เป็นพื้นที่เพื่อคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ได้จริง และข้อ 7 ถ้าไม่ทำวันนี้ วันหน้าจะไม่มีโอกาสได้รักษาพื้นที่แห่งนี้อีก (เนื่องจากกำลังมีโครงการนำพื้นที่แห่งนี้ไปทำคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาท) ก็น่าจะทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่า ...ทำไมต้องมักกะสัน
เมื่อ "เห็นต่าง" แต่พวกเขายืนยันว่าไม่ได้อยู่ฝ่ายตรงข้าม เป็นคู่ชกที่ตั้งใจจะปล่อยหมัดน็อคท่าเดียว เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพียงแต่การส่งเสียงของประชาชนถึงภาครัฐ ในประเด็นพื้นที่สีเขียว กับพื้นที่ขนาด "เท่าครึ่ง" ของสวนลุม และอยู่กลางใจเมือง ยิ่งถือว่า "จำเป็น"
"เราต้องการเสียงบริสุทธิ์ของคนกรุง ของประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับพื้นที่ตรงนี้จริงๆ" อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวรที่ผันตัวเองมาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกคนเดิมออกความเห็น
หรือคำถามง่ายๆ ของเขาเอง
"พื้นที่สีเขียวอยากได้ไหม เชื่อเลยว่า ถ้าตั้งคำถามแค่นี้ ทุกคนอยากได้ คนกรุงเทพอยากได้หมด เพราะเราอยู่ในสภาพการเจริญเติบโตด้วยแท่งคอนกรีตแบบนี้นานแล้ว มันสาหัสมากขึ้น ด้วยคนที่เข้ามาแชร์พื้นที่มากขึ้น"
ย้อนกลับไปนึกถึงข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนหน้าเพจ
สวนลุมพินีมีพื้นที่ทั้งหมด 360 ไร่ มีคนเมืองใช้บริการเฉลี่ยในช่วงวันธรรมดา 11,000 คน และวันหยุด 13,500 คนต่อวัน
ส่วนพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองที่มักกะสันแห่งนี้ มีพื้นที่เกือบ 500 ไร่
"สวนสาธารณะมักกะสัน"หรือ "มักกะสันคอมเพล็กซ์" จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณภาพ = คน+พัฒนา+ต้นไม้
นอกจากข้อเขียนรณรงค์ เรื่องราวของต้นไม้ เอกสารวิชาการ ปริมาณไลค์ และคอมเมนต์ที่ปรากฏให้ความคึกคักแล้ว กิจกรรมต่อเนื่องที่แปรความต้องการที่เป็นนามธรรม (นับหมื่นเสียง) บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นรายชื่อถูกนำมาใช้เพื่อเดินทางสู่จุดหมาย ก็คือ "คุณภาพชีวิต"
"สิ่งที่เกิดขึ้น 2-3 เดือนต่อมา เราก็ใช้โซเชียลมีเดียเหมือนกัน แต่ไปร่วมรณรงค์กับเว็บไซต์พันธมิตรเพื่อจะเปลี่ยนจากไลค์ จากคอมเมนต์ มาดูเสียงสิว่า เราเห็นด้วยจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่แค่รูปสวย ข้อความโดนใจ" จตุพรเล่าถึงก้าวต่อไป
รวมทั้งการมองข้ามไปถึงความเป็นไปได้ของพื้นที่ จะสามารถเป็นมากกว่า "คอนโดมีเนียม" หรือ "ศูนย์การค้า" หรือเปล่า
"เนื่องจากหลักๆ ทุกคนเป็นคนทำงานกันหมดก็จะมีเวลาคนละเสี้ยว ก็พยายามจะใช้โซเชียลมีเดียเป็นตัวหลัก เพื่อจะสร้างความเข้าใจว่าทำไมพื้นที่สำคัญ ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ ทำไมคุณภาพชีวิตถึงสำคัญ" เขาให้เหตุผล
ผลที่ตามมาจากกิจกรรมรณรงค์ ก็คือ ยอดไลค์และยอดแชร์ยิ่งทวีปริมาณขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และนั่นอาจเป็นไปได้ว่า พวกเขาก็ต้องการ "ทางเลือก" เหมือนกัน
"เราเคยได้คุยกันว่า ส่วนหนึ่งที่สะท้อนคุณภาพชีวิตตรงนั้นคือ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นมีทางเลือกว่า อยากจะเลือกสวนก็มี อยากจะเลือกห้างก็มีให้เลือก แต่วันนี้ ทุกอย่างถูกลงทุนพัฒนาไปในกรอบของเศรษฐกิจแบบนี้ เราไม่มีทางเลือก" จตุพรบอก
มุมนี้ รุ่งเรืองเสริมว่า มิติของชีวิตยังมีอะไรหลากหลายมากกว่าเรื่องของเม็ดเงิน
"เงินมันก็จำเป็น แต่ความสุขของคนมันมาตอบได้ไม่หมด" เขายืนยัน
อย่างที่ ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส กรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยามฯเคยตั้งข้อสังเกตถึงจุดร่วมระหว่างมักกะสันกับการพัฒนานั้นจริงๆ แล้วสามารถเชื่อมโยงกันได้แบบ วิน-วิน นั่นก็คือ แนวคิดแบบ "พาณิชย์อนุรักษ์"
ซึ่งหากพิจารณาตามแปลนจะสามารถแยกการพัฒนาพื้นที่ได้ 4 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ Industrial Heritage สำหรับแสดงนิทรรศการ และพิพิธภัณฑ์, Bangkok Botanical Park สำหรับศึกษาธรรมชาติ, Railway Housing Heritage Chic Art & Craft lifetyle Village การท่องเที่ยวเชิงวิถีชุมชน และ Commercial / Business Complex สำหรับพัฒนามูลค่าพื้นที่ ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน
"นี่จะเป็นพื้นที่ที่เป็นประวัติศาสตร์ มีเรื่องราวที่เล่าได้ มันน่าจะเป็นอะไรที่มีความสร้างสรรค์ มีความน่าภาคภูมิใจของประเทศ" เธอย้ำ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจุดหมายปลายทางจะออกเป็น "สวนมักกะสัน" หรือ "มักกะสันคอมเพล็กซ์" พวกเขาในฐานะของตัวแทนคนเมืองที่พยายามส่งเสียงบอกความต้องการก็อยากให้เกิด "การมีส่วนร่วม" ในการพัฒนาอย่างแท้จริง หรืออย่างน้อยที่สุดมักกะสันก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้คนมีสิทธิ์เข้าไปใช้ชีวิต และเป็นโมเดลในการนำไปจัดการพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ในเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้
"ถ้าเสียงมันดังพอนะครับ" ใครบางคนเผยความหวัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น