วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Kidzone โซนนี้มีแต่เด็กๆ



โทรทัศน์ เป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวันที่ทุกครัวเรือนต้องมี บางบ้านมีทีวี 4-5 เครื่อง เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ห้องไหน แทบไม่พลาดชมรายการสุดโปรด ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า รายการทีวีจะเข้ามีอิทธิพลในชีวิต
การดูโทรทัศน์จึงเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของคนในครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่า เด็กไทยในปัจจุบันนี้ชอบดูโทรทัศน์มากกว่าทำกิจกรรมอย่างอื่น เผลอๆ ใช้เวลาในการดูโทรทัศน์มากกว่าใช้เวลาในการเรียนหนังสือเสียอีก

ข้อมูลจากมูลนิธิรักษ์เด็ก ระบุไว้ว่า เด็กใช้เวลาในการดูโทรทัศน์เฉลี่ยวันละ 6.1 ชั่วโมง หรือตลอดทั้งปี ใช้เวลาถึง 2,236 ชั่วโมง ในขณะเดียวกันใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อเรียนหนังสือประมาณ 1,600 ชั่วโมง ลองคิดง่ายๆ ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เด็กนอน 8 ชั่วโมง อยู่โรงเรียน 8 ชั่วโมง ดูทีวี 5 ชั่วโมง เหลือเวลาอยู่กับพ่อแม่แค่ 3 ชั่วโมง นั่นก็หมายความว่า เด็กทุกวันนี้ถูกหล่อหลอมความคิดจิตใจจากสื่อมากกว่าพ่อแม่
ดังนั้นจึงมาถึงคำถามที่ว่า รายการโทรทัศน์มีอะไรให้เด็กดู และอะไรที่เหมาะกับเด็กอย่างแท้จริง
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เครือเนชั่นฯ อยากเติมเต็มช่องว่างที่หายไปสำหรับเด็ก
ศิวะพร ชมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทเนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงการขยายธุรกิจบรอดแคสต์ โดยการเปิดตัว KidZone - โซนคิดของเด็กคิดซน ช่องทีวีดาวเทียมสำหรับเด็กอย่างแท้จริง! อย่างเป็นทางการ พร้อมๆ กับการจัดงาน KidZone go together party เพื่อให้แฟนคลับตัวน้อยของช่องได้มาร่วมสนุก ที่ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ปัจจุบันเด็กฉลาดต้องซน กล้าแสดงออก ตอนเด็กๆ ผมก็มีแผลหลายแผล ไม่รู้ว่าซนหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ผมว่าความซนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงซนแล้วถูกตำหนินะ แต่หมายถึง เด็กที่กล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น หรือไม่ก็เอาเสื้อผ้าคุณพ่อคุณแม่มาลองใส่ เพราะอยากแต่งตัวเหมือนคุณพ่อ อยากไปทำงาน ก็ถือว่าซนในทางที่ดี"
ส่วนความเป็นมาของรายการสำหรับเด็ก เขาขยายความว่า เราต้องการเสนอสาระให้เด็กๆ เรารู้ว่าความต้องการของเด็กคืออะไร เราเสนอสิ่งพิมพ์ของเด็กและเยาวชน ซึ่งเรามีความสัมพันธ์กับดิสนีย์ และนิคาโลเดียน รวมถึงค่ายการ์ตูนต่างๆ นำเสนอสาระตรงนั้นในรูปแบบหนังสือ
"ฉะนั้นเรามีความเข้าใจเด็กเป็นอย่างดี ประกอบกับเนชั่นเข้าสู่แพลตฟอร์มของบอร์ดแคสติ้งมานาน เราก็เข้าใจ จึงนำเนื้อหาตรงนี้ออกมาในรูปของทีวี ภายใต้ชื่อ KidZone นี่แหละครับ ”
เนื่องจากเนชั่นทำทีวีดาวเทียมมานานกว่า 10 ปี ประกอบกับทำธุรกิจเกี่ยวกับหนังสือเด็กกว่า 10 ปี และใช้เวลาฟอร์มทีมประมาณ 2 ปี กว่าจะเปิดช่องใหม่สำหรับเด็กอย่างเป็นทางการ ศิวะพรเล่าต่อว่า
หลังจากเด็กๆ กลับจากโรงเรียน ช่วงบ่ายสามโมง เราจะมีรายการดีๆ ให้ชม
"ไฮไลท์ของรายการสดจะเริ่มตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม จะมีพิธีกรซึ่งเสมือนเป็นพี่ๆ มาพูดคุยกับน้องๆ 2 ชั่วโมง แล้วตัดเข้าการ์ตูนเด่นๆ ที่ไม่เคยฉายในช่องฟรีทีวีมาก่อน ช่วงรายการสดเปิดสายให้น้องๆโทรมาพูดคุยกับพี่ๆพิธีกร บางทีเรารับสายไม่ทัน น้องๆก็ส่งจดหมายเข้ามา พี่ๆ ก็อ่านจดหมายในรายการ เป็นอะไรที่อินเตอร์แอคทีฟ ซึ่งน่าภูมิใจมากๆ ที่มีน้องๆ อายุ 4-12 ขวบ รู้จักเขียนจดหมาย รู้จักวาดรูปส่งเข้ามา เราก็ให้รางวัลกลับไปเป็นหนังสือสื่อการศึกษา หนังสือวาดภาพ ฯลฯ ”
ผู้บริหารช่องKidZone เผยว่า การทำทีวีสำหรับเด็ก เปรียบเหมือนการเป็นผู้ปกครองคนที่ 3 ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเด็กและเยาวชน โดยยึดหลัก 3 ส. ก็คือ สนุก-สาระ-สร้างสรรค์
“ เราสร้าง my map สำหรับเด็กเอาไว้ เป็นเหมือนแผนที่การทำงานของพวกเราเลย เพื่อให้รู้ว่าเด็กเกี่ยวข้องกับอะไร สัมพันธ์กับอะไร แล้วมีความต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การพัฒนา การสื่อสารสิ่งแวดล้อม ทักษะ ครอบครัว เพื่อน สิ่งที่เราทำจะไม่ออกจาก my map นี้ นี่คือพื้นฐานการพัฒนาช่อง มีความเข้าใจเด็ก เป็นสิ่งที่เด็กต้องการ”
หากพูดถึงรายการสำหรับเด็ก ทุกคนจะคิดถึง ‘การ์ตูน’ ทว่าช่อง KidZone เตรียมความพิเศษไว้สำหรับเด็กพร้อมสรรพ ไม่ว่าสารคดี เกมโชว์ ทอล์คโชว์ เพลง สอนภาษา และรายการข่าว ศิวะพร เล่าว่า
รายการ Kid Diary จะใช้พิธีกรรุ่นจิ๋วออกไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ แล้วจดบันทึกประสบการณ์มาเล่าให้น้องๆทางบ้านฟัง และอีกรายการหนึ่งคือ เล่นให้เพลิน Learn & Play โดยให้น้องๆ พิธีกรไปเรียนด้านต่างๆ ไม่ว่าเทคนิคการสอนจากโรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนสอนทำอาหาร โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้
"เรียกว่าเรียนไปด้วย สนุกสนานไปด้วย นอกจากนี้ยังมีรายการ Sing a Song ให้น้องๆ มาเรียนร้องเพลงด้วยกัน แล้วยังมีรายการนิทานไทย เราไม่ทิ้งความเป็นไทย ผมเชื่อว่าปัจจุบันโอกาสที่น้องๆจะได้ดูการ์ตูนไทย นิทานไทย น้อยมาก รายการเกมโชว์ก็มีนะครับ…”
ผู้บริหารช่องเล่าอย่างสนุกสนานว่า หลังจากทดลองออกอากาศไป 3 เดือน ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา แฟนคลับให้ความสนใจมาร่วมงานกันมากมาย บางคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด
“คนที่มาร่วมงาน เป็นแฟนรายการทั้งนั้นเลย แฟนคลับคนหนึ่ง ไม่ว่าเราจะมีงานที่ไหน ก็จะตามไปตลอด ก่อนไปก็จะโทรมาถามทีมงานว่า อยากทานอะไรจากเพชรบุรี วันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็มาพร้อมขนมพะรุงพะรังเลย น้องอายุ 7 ขวบมาพร้อมคุณพ่อคุณแม่ ทุกคนอยากมาเจอพิธีกร มาถ่ายรูปมาจับมือกับแมสค็อท เราเปิดเวทีให้น้องๆ ขึ้นมาแสดงความสามารถ เพราะเราเปิดโอกาสให้คนดูส่งคลิปแสดงความสามารถมาออกอากาศในช่วงรายการสดตั้งแต่จันทร์-พฤหัส ทุกวันศุกร์ก็จะเลือกผู้ชนะ แล้วแจกทุนการศึกษา และในกลุ่มผู้ชนะอาจจะได้ร่วมงานกับ KidZone อันนี้เป็นแคมเปญใหม่ ”
นอกจากรายการดังกล่าวแล้ว ในปี 2556 ทีมงานยังตั้งใจว่าจะเพิ่มรายการใหม่ที่มีความสนุก มีสาระและสร้างสรรค์ รวมถึงมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งด้านกีฬาและข่าว แต่ละรายการใช้เวลาไม่มาก เพราะเด็กมีสมาธิไม่ยาวนัก
“ กีฬาที่เราอยากจะนำเสนอเช่น การวิ่ง 36 ขาของฮอนด้า พวกเขาจะมาเป็นสปอนเซอร์ให้ เป็นการสอนเรื่องความสามัคคีให้เด็กๆได้รู้จัก ซึ่งกีฬาของเรา ไม่ได้สอนให้แพ้ชนะ แต่สอนในเรื่องความสามัคคี ก็อยู่ในสาระที่เราอยากจะนำเสนอ การ์ตูนที่เราซื้อมาแต่ละเรื่องก็จะมีสาระ เช่น เรียนรู้เรื่องความเป็นเพื่อน การปกป้องผู้อื่น สอนเรื่องการเอาตัวรอด ส่วนข่าวกำลังคิดอยู่ว่า จะนำเสนอแบบไหนให้สนุก อาจจะนั่งโต๊ะข่าว หรือออกภาคสนาม เพื่อแนะนำสถานที่ดีๆ ที่เหมาะสำหรับเด็ก" ศิวะพร เล่า และบอกว่า
"เราอยากสร้างรายการทีวีสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นช่องที่ให้ความมั่นใจกับผู้ปกครอง และครู อาจารย์ ไว้ใจได้ว่า มีประโยชน์สำหรับเด็กจริงๆ เปิดทีวีแล้วเขาได้เรียนรู้อะไร อย่าลืมนะครับว่าเด็กกลับจากโรงเรียนแล้วอยู่กับใคร ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่ยังไม่กลับจากที่ทำงาน ”
ศิวะพรยืนยันว่า รายการในช่อง KidZone ไม่เป็นพิษเป็นภัยสำหรับเด็กอย่างแน่นอน โดยนำเสนอรายการการ์ตูนประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ และที่เหลือเป็นรายการแนววาไรตี้ ที่มีสาระ และความบันเทิงสำหรับเด็ก ซึ่งผู้ใหญ่ก็ดูได้
นอกจากความเห็นของผู้บริหาร KidZone ยังมีความเห็นของสองพิธีกรพี่เลี้ยงวัยซนจากรายการ คิดโซนคลับ คลับของเด็กคิดซน ซึ่งออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.00-19.00 น. เป็นรายการสด เปิดสายให้เด็กโทรเข้ามาพูดคุย พร้อมเรื่องราวดีๆ การ์ตูนแฝงข้อคิด
โบนัส-กิติวดี ชุณหวรากรณ์ วัย 20 ปี และ ป๋อ-ตฤท รักศักดิ์สกุล วัย 24 ปี ช่วยกันเล่าว่า เด็กๆ สมัยนี้โชคดีกว่าสมัยที่พวกเราเป็นเด็ก เพราะมีกิจกรรมให้เรียนรู้มากกว่า
ป๋อ-ตฤท เล่าว่า ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาทำรายการเกี่ยวกับเด็ก เคยเป็นพิธีกรรายการเพลงมาก่อน พอมาลองเทสต์หน้ากล้อง เพื่อทำรายการเด็กปรากฎว่า พอไปได้
"ผมเองก็รักเด็ก มั่นใจว่าเป็นพี่เลี้ยงที่ใจดีได้ พอมาทำแล้ว ก็เห็นว่า เด็กเขามีความใส ทำให้ตัวเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง และทำให้เราคิดบวก รู้สึกดี ผมมีแฟนคลับอายุ 3 ขวบไปจนถึง 14-15 ปี บางทีคุณพ่อคุณแม่ก็ดูรายการเราด้วย ผู้ปกครองก็จะช่วยน้องๆ เขียนจดหมาย ส่งมาอ่านในรายการ”
โบนัส พิธีกรสาว ก็เคยผ่านงานพิธีกรมาบ้าง แต่ครั้งนี้เป็นรายการสำหรับเด็กเล็ก เธอบอกว่า ได้คุยกับเด็กแล้วชอบ เพราะเด็กมีความน่ารัก มีโลกจินตนาการ มีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟังในรายการ
“ตอนเด็กๆโบนัสขี้แยมาก เอาแต่ใจตัวเอง เพราะเป็นน้องคนเล็ก มีพี่สาวและพ่อแม่คอยตามใจ เราเป็นเด็กชอบดูทีวี ชอบการแสดงออก เวลารวมตัวกันจัดงานปีใหม่ หรืองานสงกรานต์ ครอบครัวเราใหญ่ ก็มีโอกาสทำการแสดงให้พ่อแม่ อากง อาม่า ดู สมัยก่อนตอนเป็นเด็ก เราก็ดูรายการละครหลังข่าว เพราะรายการเด็กไม่ค่อยมี คุณแม่บอกว่าโบนัสนั่งดู แล้วร้องไห้ด้วยนะ ซึ่งรายการเด็กสมัยก่อน มีแค่การ์ตูนช่อง 9 ตอนเช้าๆ และมีรายการเจ้าขุนทองเท่านั้นเอง สมัยก่อนไม่ค่อยมีอะไรเยอะมาก แต่ตอนนี้มีช่องทีวี 24 ชั่วโมงสำหรับเด็ก ๆ ถือว่าเด็กสมัยนี้โชคดีจริงๆ ค่ะ”
ปัจจุบันโบนัส กำลังเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อจะเป็นทันตแพทย์ แต่ยังเรียนอยู่ปี 2 เธอนำความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับฟันมาบอกเล่าให้กับน้องๆในรายการฟัง พยายามหาอุปกรณ์เสริมความสนใจให้น้องๆ ดูอย่างไม่รู้จักเบื่อ อย่างเช่น วันฮัลโลวีน ก็เตรียมชุดแม่มดมาสวมใส่ เพื่อสร้างบรรยากาศ เพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับน้องๆ เป็นต้น
“มีอยู่ครั้งหนึ่งรู้สึกประทับใจมากๆ ได้รับสายโทรศัพท์จากน้องคนหนึ่งอายุ 10 ขวบ โทรเข้ามาพูดคุยในรายการ จนสุดท้ายจะลากันแล้ว น้องบอกว่า พี่โบนัสรักษาสุขภาพด้วยนะคะ เพราะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว บางคนก็เขียนจดหมายมาถามว่า พี่โบนัสเหนื่อยไหมคะ สบายดีหรือเปล่า ซึ่งเรารับรู้ได้ถึงความอบอุ่น รู้สึกได้ว่ามาจากความจริงใจ ก็เลยรู้สึกตื้นตัน และอยากทำรายการให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีกค่ะ” โบนัสกล่าว
ด้านพิธีกรหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบด้านออกแบบตกแต่งภายใน ที่มหาวิทยาลัย ศิลปากร เล่าถึงวัยเด็กว่า เคยเป็นเด็กดื้อและซนมากๆ
“คิดว่าคุณแม่คงเหนื่อย เพราะผมเป็นเด็กผู้ชายที่แอคทีฟมากๆ ไม่ค่อยเดิน จะวิ่งมากกว่า วีรกรรมความซนเยอะมาก เล่าซัก 1 วีรกรรมก็แล้วกันนะครับ คือผมอยากเรียนยูโด ตอนนั้นอายุ 9 ขวบ ก็ขอคุณแม่ไปเรียนที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่นดินแดง ซึ่งคุณแม่ก็ไปเรียนแอโรบิคเป็นเพื่อน เราก็เลยมีความรู้เรื่องยูโด พอไปโรงเรียนเล่นกับเพื่อน ทุ่มเพื่อนจนฟันหัก คุณพ่อคุณแม่เขาก็มาเอาเรื่อง เพราะฟันแท้ลูกเขาเพิ่งขึ้น นี่คือวีรกรรมของผม ผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ใฝ่ดีเล็กๆ อยากเป็นเด็กที่มีคนรัก ครูรักใคร เราก็เอามาเป็นตัวอย่าง เล่นกีฬา เล่นดนตรี เพื่อให้ครูมารัก มาสนใจเรา ส่วนรายการทีวีตอนเด็กๆก็ดูบ้างนะครับ เช่น การ์ตูน และรายการเจ้าขุนทอง รายการของพี่ซุป ตอนเช้าก็มีดีสนีย์ เด็กๆสมัยผมมีทางเลือกดูทีวีเท่านี้เองครับ”
ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เด็กสมัยนี้มีโลกเป็นของตัวเอง มีทางเลือกมากขึ้น ในโลกของอินเตอร์เน็ต มีข้อมูลความรู้มากมาย แต่ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม ป๋อมองว่า หาก KidZone จะ‘เป็นพ่อแม่คนที่ 3’ หรือ ‘ THIRD PARENTS’ สำหรับเด็กๆ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีของสังคม
KidZone จึงเป็นเสมือนตัวแทนสอนเด็กในแง่มุมของโลกแห่งความเป็นจริง ให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นอกห้องเรียน เพื่อเปลี่ยนค่านิยมที่ผู้ปกครองบางคนบอกว่า ไม่ให้ลูกดูทีวีเด็ดขาด เพราะทีวีไม่มีอะไรดี
(หมายเหตุ: ชมรายการช่อง KidZone-โซนคิดของเด็กคิดซน ได้ที่ ทีวีดาวเทียม ไทยคม 5 ในระบบ C-Band ในกลุ่มของ PSI ช่อง 101, จาน Dynasat ช่อง 31 , กลุ่ม Big 4 ช่อง 33, กล่องรับสัญญาณ Sunbox ช่อง 43 และกล่องรับสัญญาณ GMMz ช่อง 93 และเคเบิลทีวีทั่วประเทศ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น