คงจะเป็นไปได้ยาก หากใครสักคนจะเดินมาบอกให้ ลืม หรือทำเป็นว่า ไม่เคยมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น ณ ดินแดนปลายด้ามขวานมาก่อน
นับจาก 4 มกราคม 2547 ในเหตุการณ์เผาโรงเรียนในจังหวัดนราธิวาส และปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย และได้อาวุธปืนไปหลายร้อยกระบอก มาจนถึงวันนี้ ความรุนแรงยังคงลุกโชนต่อเนื่องเหมือนฉายภาพซ้ำๆ ผ่านพื้นที่ข่าวแทบไม่เว้นแต่ละวันตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา
แต่หากลอกภาพจำเหล่านั้นออก เบื้องหลังยังมีเรื่องราวน่าสนใจในวิถีความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการดำรงอยู่ของวิถีดั้งเดิมท่ามกลางการรุกคืบของความทันสมัย สะดวกสบายตามแบบฉบับสังคมเมือง
"ฉันคิดว่า ข่าวสารที่ถูกสื่อออกจากปักษ์ใต้มีแค่สีดำ และสีขาว ไม่ค่อยมีสีที่หลากหลาย ฉันเลยอยากจะเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เราไม่ค่อยพบเห็นในสื่อ หรือในข่าวที่ออกจากภาคใต้ ฉันจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น เพื่อให้คนอื่นๆ รู้จักเพื่อนของฉันมากกว่านี้" คือคำตอบพร้อมรอยยิ้มจาก มิร่า ลี แมนิกคาม (Mira Lee Manickam) นักวิจัยชาวอเมริกัน และผู้เขียนหนังสือJust Enough : A Journey into Thailand's Troubled South ผลงานที่ได้จากการลงพื้นที่ฝังตัวเรียนรู้วิถีชาวบ้านดาโต๊ะ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อ 7 ปีก่อน
มิร่า ยอมรับว่า ตอนนั้นรู้สึกกลัว เพราะสถานการณ์ที่นั่นมีความรุนแรงมาก และเรื่องของครูจูหลิงก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ประกอบกับทัศนคติของชาวอเมริกันที่ค่อนข้างกลัว และมีความคิดต่อศาสนาอิสลามไม่ดีเท่าไรนัก
"แม้จะเป็นคนที่ชอบเปิดรับ แต่ฉันคิดว่า ตัวฉันยังคงได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของสหรัฐมากอยู่ การเปิดรับจึงเป็นเรื่องที่ยากนิดหน่อย" เธอบอก
แต่หลังจากผ่านด่านความกลัวมาได้ มิร่า ซึ่งหั่นผมสั้นกุดให้ดูทะมัดทะแมงและคล่องตัว ก็ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในหมู่บ้านดาโต๊ะ
"ฉันเรียนรู้ในระดับหัวใจมากกว่าระดับสมอง และเริ่มเข้าใจความเป็นอยู่ลึกกว่าที่เคยรู้ ประสบการณ์นี้มันส่งผลกระทบต่อฉันมาก และอยากให้คนอื่นๆ ได้รับรู้เหมือนกับที่ฉันได้รู้"
การที่ฝรั่งตาน้ำข้าวโดยเฉพาะเป็นผู้หญิงจะลงพื้นที่ชายแดนใต้ อาจดูแปลก และน่าสนใจ แต่มิร่า บอกว่า ที่อยากให้สนใจมากกว่าเรื่องราวของเธอ ก็คือ สิ่งที่เธอได้ 'เรียนรู้'
---------------------------
จากจุดเริ่มต้น ที่ต้องการมาศึกษาวิถีชีวิตดั้งเดิมในยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ความสะดวกสบายของสังคมสมัยใหม่ว่า มีบทบาทมากน้อยแค่ไหน ในพื้นที่ดาโต๊ะ แต่หลังจากได้ตามติดชาวประมงไปหาปลา มิร่า สังเกตว่า นอกจากปลาจะไม่ค่อยมีแล้ว ในทะเลก็ยังไม่ค่อยมี 'วัยรุ่น' ให้เห็นอีกด้วย
ความสงสัยว่า เมื่อไม่ทำอาชีพประมง แล้ววัยรุ่นที่นั่นเขาทำอะไรกัน เธอ เลยซอกแซกตามไปดู และได้รู้ว่า พวกวัยรุ่นเขาชอบไปชุมนุมที่ร้านน้ำชา..
"ที่นั่นมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นพวกเกเร พวกเขาไว้ผมยาว ใส่เสื้อแบบร็อคๆ แล้วก็ชอบจับกลุ่มกัน ฉันอยากจะเข้าไปคุยกับพวกเขา แต่คิดว่าคงจะยากหน่อย เพราะผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ค่อยชอบให้นักวิจัยต่างประเทศไปยุ่งกับพวกวัยรุ่นในชุมชน ฉันไม่รู้จะทำยังไง"
หลังจากคอยจับสังเกต ทำให้รู้ว่า วัยรุ่นกลุ่มนี้ชอบไปกินน้ำชาที่ร้านน้ำชากัน ซึ่งโดยปรกติแล้ว ร้านน้ำชา จะเป็นสถานที่ของกลุ่มผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงต่างชาติอย่างเธอ ที่แม้จะพูดไทยปร๋อ พอๆ กับภาษามลายู แต่ก็คงช่วยอะไรมากไม่ได้ โดยเฉพาะภาษามลายู ที่เธอร่ำเรียนมาก่อนจะลงพื้นที่นั้น ค่อนข้างเปล่าประโยชน์ เพราะเป็นมลายูที่เขาไม่ได้ใช้พูดกันในปัตตานี
แต่สุดท้าย มิร่า ซึ่งเป็นนักกีฬาตัวจริง เพราะเล่นสัตตกรีฑา ก็หาทางเชื่อมต่อกับวัยรุ่นได้ในโลกของ 'กีฬา' ที่เธอถนัด
"ตอนนั้นมีการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 พอดี แล้วฉันก็ชอบฟุตบอลมากๆ เด็กวัยรุ่นที่นั่นมักจะจับกลุ่มนั่งดูฟุตบอลกัน ฉันเลยถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์"
ไม่ใช่แค่ดู แต่นักวิจัยสาวรายนี้ยังกระโจนลงไปเตะบอลในสนามเพื่อสานสัมพันธ์ต่ออีกด้วย..
เมื่อเป็นที่ยอมรับของเด็กวัยรุ่น.. มิร่า จึงได้ข้อมูลต่อมา ว่า วัยรุ่นที่นั่นแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามรสนิยมทางดนตรี โดยจะมีที่ประจำเป็นศาลาซึ่งเรียงรายอยู่ริมทะเล
"กลุ่มวัยรุ่นผู้ชายในหมู่บ้าน จะแบ่งออกเป็นสามประเภท คือ วัยรุ่นกลุ่มร็อคใต้ดินหรือเฮฟวี่เมทัล วัยรุ่นเพื่อชีวิต แล้วก็วัยรุ่นลิเกฮูลู" มิร่าบอก
ก่อนจะแจกแจงต่อว่า อย่างกลุ่มวัยรุ่นที่สนใจดนตรีเฮฟวี่เมทัลนั้นส่วนใหญ่จะจับกลุ่มกันตามร้านน้ำชา นั่งคุยกัน ซึ่งพวกนี้จะเป็นกลุ่มที่มีฐานะค่อนข้างดีในชุมชน พ่อแม่ไม่ได้ยากจน
"หลายคนที่สนใจดนตรีชนิดนี้เป็นกลุ่มที่พ่อแม่ทำธุรกิจข้าวเกรียบในหมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่มีเวลาว่างอย่างนี้หรอก"
ส่วนวัยรุ่นที่สนใจลิเกฮูลู และเพลงเพื่อชีวิต เท่าที่สังเกต เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่พ่อแม่ทำประมง ซึ่งกลางวันพวกเขาต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ส่วนกลางคืน ก็จะมีเวลาได้จับกลุ่มกับเพื่อนฝูงคอเดียวกัน โดยเฉพาะลิเกฮูลู ซึ่งมิร่า สนใจมากเป็นพิเศษ เพราะสงสัยว่า ทำไมวัยรุ่นถึงยังสนใจดนตรีพื้นเมืองกันอยู่
"ฉันตามไปดูพวกเขาเล่นลิเกฮูลูกันที่ริมทะเลตอนกลางคืนด้วย มันเหมือนกับเป็นผับของวัยรุ่นเลย พอถึงเวลานัด ก็จะมีคนมารวมตัวกัน มีทั้งที่นั่งเรือมาจากหมู่บ้านอื่นมาเล่นด้วย ซึ่งมันน่าแปลกมาก เพราะหลายคนบอกว่า ลิเกฮูลู ไม่เป็นที่ยอมรับตามหลักศาสนาอิสลามเท่าไรนัก แต่เมื่อฉันไปดูก็รู้สึกว่า พวกเขาค่อนข้างทันสมัย เพราะผู้หญิงบางคนสวมเสื้อที่เป็นผ้าบางๆ มาร่วมวงด้วย" มิร่า เล่าถึงสิ่งที่พบเห็น
และบอกว่า นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับสาวๆ อีกกลุ่มที่มาร่วมวงลิเกฮูลู พวกเธอแต่งตัวเรียบร้อยตามประเพณี แต่ เวลาแดนซ์ พวกเธอแดนซ์ยิ่งกว่า ชากีร่า เสียอีก!
...คงด้วยเหตุผลนี้กระมัง ที่ทำให้วัยรุ่นยังสนใจในลิเกฮูลู
---------------------------
ส่วนเรื่องของความสัมพันธ์ของหญิงชายวัยรุ่นในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยกรอบกฎเกณฑ์ทางศาสนา ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายในหมู่บ้านไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้คุยกันแบบเผชิญหน้า แต่จะคุยกันทางโทรศัพท์เสียเป็นส่วนใหญ่
"ฉันรู้ว่าเขาคุยกับแฟนเขาแน่นอน เพราะเวลาที่คุยเขาจะทั้งยิ้มไปคุยไป แต่ที่ฉันสงสัย คือ เขาขอเบอร์โทรศัพท์กันได้ยังไง"
หลังเกิดคำถามขึ้นในใจ ตามประสานักวิจัย ย่อมต้องสืบเสาะ จนได้คำเฉลยจากวัยรุ่นกลุ่มฮาร์ดร็อคที่บอกว่า พวกเขามีถนนรู้กันอยู่สายหนึ่ง
"พวกวัยรุ่นเล่าว่า เวลาขับรถเข้าไปในเมืองปัตตานี จะมีถนนอยู่เส้นหนึ่งที่วัยรุ่นจะชอบขี่เข้าไป ผู้ชายจะขับมอเตอร์ไซค์แล้วก็บีบแตรเรียกให้วัยรุ่นหญิงจอดรถ.. เหมือนเช็คพอยท์เลยนะ(หัวเราะ) แล้วพวกผู้หญิงก็จะจอดรถ และแลกเบอร์กัน"
นอกจากจุดนัดพบอย่างที่เพื่อนคอร็อคเล่าให้มิร่าฟังแล้ว เธอยังคอยแอบสังเกตและเห็นว่า แม้กระทั่งในที่สาธารณะในตัวเมือง ก็มีวัยรุ่นสาวๆ แอบแจกเบอร์อยู่เหมือนกัน
"ฉันเห็นวัยรุ่นผู้หญิงบางคนแอบบอกเบอร์โทรศัพท์ด้วยนิ้ว โดยทำเป็นเอามือเสยผม หรือเท้าคาง แล้วก็ทำนิ้วเป็นตัวเลข ทีละตัวๆ เลยค่ะ" นักวิจัยชีวิตเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
นั่นคือ ภาพเมื่อ 7 ปีที่แล้วซึ่งมิร่าได้พบเห็น แต่หากถาม ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งลงพื้นที่ อ.รามัญ จ.ยะลา เพื่อทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง มา 5-6 ปีแล้วนั้น เขาบอกว่า ปัจจุบันการผิวปากแซวกัน ตลอดจนรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่เห็นนั้น เรียกว่า น้อยลง อย่างชัดเจน
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรับการตีความตามศาสนาอิสลามที่เข้มงวดมากขึ้นมาใช้ ทำให้โอกาสการสานสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมีน้อยลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ ยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ แนวโน้มที่วัยรุ่นชายจะเกาะกลุ่มกันในลักษณะ Male group exclusive ก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
"ถึงแม้ว่า การจับกลุ่มของวัยรุ่นชายที่คนเห็นโดยทั่วไป เป็นต้นว่า ไปเตะฟุตบอล หรือเล่นกีฬา หรือนั่งตามร้านน้ำชา แต่ความน่าสนใจกลับอยู่ตรงที่ว่า อีกจำนวนไม่น้อย มีการจับกลุ่มในที่ลับ เช่น ตามชายป่า หรือ ริมคลอง แล้วกิจกรรมที่รับรู้กันดีก็คือ เขาจะจับกลุ่มกันกินน้ำต้มใบกระท่อมบ้าง หรือไม่ก็สี่คูณร้อยบ้าง ซึ่งมีเยอะมาก โดยเฉพาะน้ำต้มใบกระท่อม ผมกล้าพูดเลยว่า ผู้ชายแถวนั้นเกือบทั้งหมดต้องเคยลองมาแล้ว" ดร.อนุสรณ์บอก
ในขณะที่ฝั่งชายมีทางออกให้กับชีวิต เมื่อมองดูทางฝั่งสาวๆ ที่ยังคงต้องดำเนินชีวิตตามเส้นทางที่ทางบ้านกำหนดไว้ให้ คนที่เปี่ยมด้วยเสรีอย่างมิร่า เห็นแล้วถึงกับบอกว่า นี่คือ สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเธอ
"ในชีวิตฉันได้มีโอกาสทำทุกสิ่งที่ผู้ชายได้ทำ พอมาเห็นโอกาสของผู้หญิงที่นี่แล้ว รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่มองอีกมุมมันก็ซับซ้อนด้วย เพราะเท่าที่เห็น ผู้หญิงเรียนเก่งกว่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงกลับต้องรับภาระทางบ้าน อย่างเพื่อนของฉันคนหนึ่ง มีภาระความรับผิดชอบเยอะมาก ต้องดูแลลูกพี่ลูกน้อง โดยไม่มีทางเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตัวเองเลย"
แต่ถึงจะภาระหนักหนา หรือจำต้องเดินบนเส้นทางที่ไม่ได้เลือก แต่สิ่งที่มิร่าเห็นและทึ่งในผู้หญิงเหล่านั้น คือ พวกเธอสามารถเรียนรู้ที่จะมีความสุขได้ ในสภาวะจำยอม
"ฉันต้องเรียนรู้จากพวกเธอเยอะมากในเรื่องนี้" มิร่าเอ่ย และบอกว่า
...นี่แหละคงเป็น 'Just Enough' ที่เธอต้องเรียนรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น