ด้วยเวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น จากสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายและอึกทึกไปด้วยเสียงรถยนต์ เสียงคน เสียงเครื่องจักร รวมไปถึงอากาศร้อนที่ร้อนเหมือนอยู่ในเตาอบอย่างที่หลายคนนึกเปรียบเปรย กลับกลายมาเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ เขียวขจี และแน่นอน ร้อนอีกเช่นกัน ทว่าเป็นความร้อนแบบแจ่มใส พระอาทิตย์เหมือนกำลังระบายรอยยิ้มส่งลงมายังพื้นโลก อากาศสะอาดจนทำให้สูดหายใจได้โล่งกว่าสถานที่เดิมที่ฉันจากมา
หลังจากที่ไม่ได้ออกเดินทางมานานสักระยะ คราวนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาเที่ยวภาคใต้ตอนบน เรียกว่าบนสุดของแดนดินถิ่นสะตอเลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ฉันยืนอยู่ที่ จ.ชุมพร เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นประตูสู่ภาคใต้ ฉันเองยังไม่ค่อยรู้จักจังหวัดนี้มากนัก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวชุมพร เท่าที่นึกออกคือ เป็นจังหวัดบ้านเกิดของเพื่อนสนิทสมัยมัธยม เป็นจังหวัดที่มีการปลูกมะพร้าวมากเป็นอันดับต้นๆ ของไทย ถูกนำไปผลิตเป็นกะทิกล่องที่วางอยู่ก้นครัวของทุกบ้าน และเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางการทหารเรือ โดยมีบุคคลสำคัญ คือ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บิดาแห่งทหารเรือไทย ผู้ทรงสถาปนากองทัพเรือสมัยใหม่ให้กับประเทศไทย หรือที่ใครๆ รู้จักกันในนาม 'เสด็จเตี่ย'
นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เคยมีความรู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับชุมพรติดสมองมาอีกเลย แต่เอาล่ะ มาครั้งนี้ขอเพิ่มอาหารให้สมองด้วยการทำความรู้จักกับชุมพรให้มากขึ้นก็แล้วกัน
ทริปนี้มี พี่ป๋อง ประธานชมรมมัคคุเทศก์ จ.ชุมพร มาทำหน้าที่คอยให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามต่างๆ ที่ทุกคนสงสัย พี่ป๋องเกริ่นให้ฟังว่าจุดหมายแรกของเราคือบึงพรุแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่อ.ปะทิว จ.ชุมพร ได้ยินครั้งแรกยังนึกไม่ออกว่าบึงแห่งนั้นมีความพิเศษอะไร แค่บึงน้ำธรรมดาไม่น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากนักแต่พอมาถึงก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่หลายคน ทั้งผอ.โรงเรียน ปลัดอำเภอ อาจารย์จากโครงการพระราชดำริฯ ช่างภาพ นักพฤกษศาสตร์ ยืนรวมตัวกันอยู่ เอาละสิ! งานนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เมื่อได้เข้าไปทักทายพูดคุยจึงได้ทราบว่า สถานที่ที่ฉันเพิ่งมาถึงนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญต่อระบบนิเวศวิทยามากๆ แห่งหนึ่งของไทย เพราะมันคือบึงพรุที่มีต้นกงแทงกอขึ้นหนาแน่นไปทั่วบริเวณ และที่แซมอยู่ตามกอของต้นกงเห็นเป็นดอกสีม่วงอมชมพูนั่นคือพืชชนิดหนึ่งที่ว่ากันว่าสูญหายไปนานจากระบบนิเวศของเขตป่าฝน เพิ่งจะมาพบอีกครั้งก็ที่ชุมพรนี่เอง
พืชที่ว่าก็คือ เอื้องโมกพรุ เป็นกล้วยไม้พันธุ์ท้องถิ่นของชุมพร หัสชัย บุญเนือง ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์ นักเขียน และช่างภาพอิสระ ให้ความรู้เกี่ยวกับพืชชนิดนี้ว่า เป็นกล้วยไม้ในสกุลเอื้องโมก หรือ Papilionanthe (Papilio หมายถึง ผีเสื้อ ส่วน nanthe หมายถึง ดูคล้าย ชื่อสกุลนี้จึงหมายถึง ดอกมีลักษณะคล้ายผีเสื้อ) ในประเทศไทยมีรายงานการพบกล้วยไม้ในสกุลนี้อยู่ 3 ชนิดได้แก่ เอื้องโมก เอื้องโมกเชียงดาว และเอื้องโมกพรุ ซึ่งแต่ละชนิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ต่างกัน
เอื้องโมกพรุ มีรายงานการค้นพบและเก็บตัวอย่างครั้งแรกจากเกาะบอร์เนียว หลังจากนั้นนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันได้ทำการศึกษาและตั้งชื่อว่า Vanda hookerina Rchb.f. ต่อมาเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ย้ายมาอยู่ในสกุลปัจจุบัน คือ Papilionanthe hookerina (Rchb.f.) Schltr. ความสำคัญของกล้วยไม้ชนิดนี้นอกเหนือจากความงดงามที่นับได้ว่าเป็นราชินีแห่งดอกไม้แล้ว ลูกผสมในธรรมชาติ (ต้นแม่เป็นเอื้องโมกพรุและต้นพ่อเป็นเอื้องโมก) ได้กลายมาเป็นดอกกล้วยไม้ที่สวยงามและได้รับการคัดเลือกให้เป็น 'กล้วยไม้ประจำชาติสิงคโปร์'
ด้วยความพิเศษนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเอื้องโมกพรุเริ่มขจรขจายไปไกล คนจากถิ่นอื่นก็อยากมีไว้ในครอบครอง เพราะหนึ่ง เป็นกล้วยไม้ป่าพันธุ์หายาก สอง มีความสวยงามโดดเด่นไม่ซ้ำใคร และสาม เป็นพืชท้องถิ่นที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยาของบึงพรุ จนบางคนอดใจไม่ได้ที่จะขอตัวอย่างไปศึกษา แต่หากเข้าไปรบกวนแหล่งกำเนิดเดิมมากๆ ก็อาจจะทำให้เอื้องโมกพรุสูญพันธุ์ได้
ผศ.ดร.นาตยา มนตรี เลขานุการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ สนองพระราชดำริในสมเด็จพระเทพฯ โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง อธิบายถึงประเด็นอ่อนไหวนี้ว่า ปัจจุบันพืชชนิดนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากธรรมชาติบริเวณที่เป็นแหล่งกำเนิดถูกทำลาย ประกอบกับมีการลักลอบออกจากพื้นที่เพื่อนำไปขาย ดังนั้นเพื่อให้ทรัพยากรนี้ยังคงอยู่ในแหล่งกำเนิดเดิม สถาบันเทคโนโลยีฯลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพร ร่วมกับโรงเรียนในเขตอ.ปะทิวและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงการศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งการศึกษาด้านนิเวศวิทยา ลักษณะทางพฤษศาสตร์ การเจริญเติบโต การขยายพันธุ์ และแนวทางการปลูกเลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์นอกถิ่นเดิม รวมทั้งได้จัดการฝึกอบรมและให้ความรู้ให้กับนักเรียน ชุมชน และผู้นำท้องถิ่น
"เราอยากจะให้มันเกิดอาชีพกับชุมชน ใครอยากได้ก็ต้องมาซื้อเอาต้นที่ชุมชนเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขึ้นมา ไม่อนุญาตให้เอาจากบึงพรุ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงที่เรากำลังทดลองและศึกษาเกี่ยวกับการขยายพันธุ์และการเติบโตของมัน รวมถึงปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ให้เขาด้วย ต่อไปถ้าทำได้ชุมชนจะเข้มแข็ง ใครเข้ามาเที่ยวแล้วเห็นปลูกกันอยู่ทุกบ้านก็สามารถไปซื้อเอากับชุมชนได้โดยตรงโดยไม่ต้องไปเอาจากแหล่งเดิม ชาวบ้านก็จะมีรายได้จากตรงนี้ด้วย"
ใครจะมาเที่ยวชมความงามของเอื้องโมกพรุช่วงนี้ บอกได้เลยว่าจะได้เพียงนั่งเรือชมโดยรอบเท่านั้น หากอยากชมความสวยงามของดอกเอื้องแบบชัดๆ ก็ต้องรอกันสักหน่อยให้ทางจังหวัดจัดทำจุดชมวิวและให้ชุมชนเพาะพันธุ์ให้ได้สำเร็จเสียก่อน ถึงเวลานั้นใครอยากจะชม อยากจะถ่ายรูป อยากจะซื้อกลับไปปลูกที่บ้านกี่ต้นก็ไม่มีใครว่า
-2-
หลังจากได้ชื่นชมทั้งเอื้องโมกพรุ ทั้งความพยายามของคนที่มีใจอนุรักษ์แล้วก็ทำให้อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก แต่อิ่มใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอิ่มท้องด้วย มาเที่ยวชุมพรทั้งทีก็ต้องจัดอาหารทะเลเป็นมื้อกลางวันเสียหน่อย มื้อนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ปูนึ่งจานใหญ่ ปลาทูสดตามมา ต่อด้วยหมึกต้มหวาน กะเพรากุ้ง และปลาชุบแป้งทอด เท่านั้นเอง แต่ใครที่ไม่ได้มาลอง รับรองว่าจะเสียใจ เพราะอาหารทะเลที่นี่สดมากๆ รสชาติดีไม่แพ้เมืองติดทะเลแห่งอื่นในประเทศไทย
อิ่มอร่อยกันแล้วเราก็เดินไปสูดอากาศแสนสดชื่นกันที่ริมหาด แม้ว่าช่วงกลางวันแดดจะร้อนเปรี้ยง แต่บริเวณอ่าวทุ่งมหา ต.ปากคลอง อ.ปะทิว แห่งนี้ก็มีวิวสวยงาม สามารถเดินถ่ายรูปเล่นได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมร้อน บริเวณนี้มองเห็นอ่าวเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวได้ชัดเจน มองออกไปกลางท้องทะเลจะเห็นเกาะเตียบ เห็นเรือประมงหลายลำ ฉากหลังแต่งแต้มด้วยผืนน้ำสีเขียวเข้มและท้องฟ้าสีฟ้าสด สวยงามจริงๆ
"ป่ะๆ ไปดูธนาคารปูกัน" เสียงใครคนหนึ่งชักชวนให้ทั้งแก๊งขยับตัว ไม่รอให้ชวนหนที่สอง ทุกคนพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น และใช้เวลาไม่นานเราก็ประสานขอเรือจากชาวบ้านให้พาล่องข้ามทะเลไปยังเกาะเตียบเพื่อไปชม ธนาคารปูม้าหมู่บ้านเกาะเตียบ ซึ่งเป็นวิธีอนุรักษ์แหล่งอาหารของชาวชุมพรให้ยั่งยืน
พอไปถึงเราก็เจอกับ สมพงษ์ บุตรไชยา ผู้ดูแลธนาคารปูม้าหมู่บ้านเกาะเตียบ เขาเล่าให้ฟังว่า ธนาคารปูม้าของชุมพรจัดตั้งมากว่า 12 ปีแล้ว แรกเริ่มนั้นเป็นแนวคิดของลุงจาง ประธานผู้ก่อตั้งธนาคารปูม้าฯ โดยเห็นว่าทรัพยากรที่เป็นอาหารในท้องทะเลนั้นลดน้อยลงจนน่าใจหาย โดยเฉพาะปูม้าที่ลดจำนวนลงไปมากผิดปกติ อาจเป็นเพราะคนจับขายกันมาก เป็นที่ต้องการของลูกค้ามาก จนปูในทะเลโตไม่ทันกิน ลุงจางจึงมีไอเดียว่าควรให้ชาวประมงมาร่วมมือกันคืนปูสู่ธรรมชาติให้มากขึ้น โดยชาวประมงคนใดที่จับปูที่มีไข่เต็มท้องพร้อมสลัดไข่มาได้ ให้นำมาฝากที่ธนาคารรอจนปูสลัดไข่ออกหมดจึงเอาแม่ปูกลับคืนไป การทำแบบนี้จะช่วยให้มีลูกปูเจริญเติบโตในทะเลได้มากขึ้น
"ถ้าเราเอาแม่ปูที่มีไข่พร้อมฟักไปกินเลย มันก็ตายหมด ต่างคนต่างจับมันก็ไม่มีเหลือ พอเริ่มโครงการตรงนี้มันก็ดีขึ้นเยอะ ก็สังเกตได้จากเวลาเราไปวางลอบดักปูเราก็ได้มาเยอะกว่าแต่ก่อน ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนคือต่างกันเลย นอกจากได้ดอกเบี้ยเป็นปูกลับคืนไปแล้ว ยังได้ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้ชาวประมงจับปูขายได้ตลอด เขาก็มีรายได้อย่างสม่ำเสมอ เราคืนทรัพยากรสู่ธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะคืนสู่ตัวเราเหมือนกัน"
-3-
เช้าวันถัดมา เราตื่นก่อนไก่โห่เพื่อนั่งรถโฟวีลขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ วนอุทยานเขาพาง ใช่แล้ว.. ชุมพรมีทะเลหมอกในฤดูร้อนให้ได้ชม ทุกคนแปลกใจไม่น้อยที่ภาคใต้มีทะเลหมอกเหมือนยอดดอยทางเหนือ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาประมาณ 05.30 น. เราก็มายืนอยู่ที่จุดชมวิวบนเขาพางซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 860 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตอำเภอเมือง อากาศยามเช้าตรู่เย็นสบาย ช่างภาพต่างเตรียมขาตั้งกล้องพร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพอีกหลายอย่างเพื่อมาเก็บภาพทะเลหมอกและแสงแรกของวันไว้เชยชม
รอไม่นานนัก ดวงอาทิตย์สีแดงส้มดวงใหญ่ก็ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า จากจุดนี้สามารถมองเห็นเขาดินสอ เห็นตัวเมืองชุมพร เห็นถนนเส้นเพชรเกษมที่มีดวงไฟสีส้มๆ เป็นเส้นยาวไปตลอดแนวถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอจางๆ ของหมอกยามเช้า หมอกที่ว่านี้เกิดจากไอน้ำปริมาณมากที่ระเหยมาจากดงป่าผืนใหญ่เบื้องล่างไม่เหมือนกับหมอกทางเหนือที่เกิดจากความกดอากาศต่ำที่พัดมาจากประเทศจีน ในสายตาฉันหมอกที่นี่ก็เหมือนกับหมอกทางเหนือแต่อาจจะเบาบางกว่า ส่วนเรื่องความสวยนั้นกินกันไม่ลง
หลังจากรัวชัตเตอร์เก็บภาพบรรยากาศตอนเช้ากับแสงแดดอุ่นๆ กันเต็มที่แล้ว เราก็ลงจากเขาพางเพื่อมุ่งหน้าไปยัง เกาะพิทักษ์ที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวท้องครก ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน ที่นี่นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงของชุมพร และมีโฮมสเตย์เปิดบริการนักท่องเที่ยวอยู่แทบทุกหลังคาเรือน
เกาะแห่งนี้ถูกกล่าวถึงในฐานะที่มีชุมชนอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเลดีเด่น และเคยได้รับรางวัลเกาะปลอดยาเสพติด มีศูนย์อนุรักษ์หอยมือเสือ มีแนวปะการังหลากชนิดทอดยาวไปถึงเกาะคราม นอกจากนี้บนเกาะยังมีถนนตัวหนอนโดยรอบ สามารถเดินชมวิถีชีวิตชาวบ้านได้สะดวก
พร ธานีครุฑ ผู้นำชุมชนแห่งเกาะพิทักษ์ เล่าว่า โฮมสเตย์ของที่นี่เป็นบ้านไม้ใต้ถุงสูง รับรองได้ในเรื่องของคุณภาพดีมีมาตรฐาน มีการจัดการโดยระบบสหกรณ์ ทำให้โฮมสเตย์ของแต่ละหลังมีรายได้จากนักท่องเที่ยวอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่นี่ก็ให้ความสำคัญมาก เช่น น้ำเสียต่างๆ จะไม่ทิ้งลงทะเล แต่จะใช้วิธีสูบขึ้นไปทิ้งบนเกาะ หรือแม้กระทั่งน้ำยาซักล้างต่างๆ ที่มีกรดด่างเข้มข้นก็จะไม่ทิ้งลงทะเลเช่นกัน รวมถึงมีการผลิตอีเอ็มบอลไว้สำหรับโยนลงน้ำทะเลเพื่อรักษาสมดุลให้น้ำทะเลใสสะอาด เมื่อน้ำสะอาด กุ้ง ปู ปลา หรือแม้กระทั่งม้าน้ำตัวเป็นๆ ก็ว่ายเวียนมาให้ได้เห็นใกล้ๆ ถึงใต้ถุนบ้าน
เราเดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ รวมทั้งชมวิถีชีวิตของชาวประมงท้องถิ่นที่นี่อยู่พักใหญ่ๆ และถือโอกาสรับประทานอาหารมื้อกลางวันแสนอร่อย ก่อนจะโบกมืออำลาเกาะพิทักษ์ไปด้วยความเสียดายที่ไม่มีเวลาค้างแรมสักคืน
ไม่นานเราก็กลับขึ้นมาบนฝั่งเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ก่อนกลับเราเดินทางไปสักการะกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ที่อนุสรณ์สถานหาดทรายรีเพื่อความเป็นสิริมงคล และแวะซื้อของฝากขึ้นชื่ออย่างกาแฟโรบัสต้ารสชาติเข้มข้น ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียง 2 วัน 2 คืนจะทำให้ฉันรู้จักตัวตนของชุมพรได้มากขนาดนี้
หากมีเวลาว่างในโอกาสหน้า ฉันสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนคนนี้อีกครั้ง
--------------------------
การเดินทาง
การเดินทาง
ตอนนี้จังหวัดชุมพรกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปได้สะดวกมากๆ จะขับรถไปเที่ยวเองก็ง่ายแสนง่าย ใช้เวลาไม่นานมากนัก นับว่าเป็นจังหวัดทางใต้ที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด โดยจากกรุงเทพฯ ให้ไปตามทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จนถึงสี่แยกปฐมพร จากนั้นแยกซ้ายเข้าตัวเมืองชุมพรตามทางหลวงหมายเลข 4001 อีกประมาณ 8 กิโลเมตร ระยะทางประมาณ 463 กิโลเมตร
แต่ถ้าจะให้สะดวกสบายที่สุด แนะนำให้ใช้บริการของสายการบินนกแอร์ เพราะมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) บินตรงสู่ชุมพรทุกวันวันละ 4 เที่ยวบิน(ไป-กลับ) โดยให้บริการด้วยเครื่องบินแบบ ซาร์ป 340 บี 34 ที่นั่ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nokair.com หรือ โทร. 1318
หลังจากลงเครื่องแล้ว สามารถติดต่อรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่างๆ ได้อย่างสะดวก สอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีขนส่งชุมพร โทร 0 7750 2725, 0 7751 1099 นอกจากนี้ยังมีรถสองแถวไปยังแหล่งท่องเที่ยว เช่น อำเภอหลังสวน อำเภอพะโต๊ะ อำเภอท่าตะโก ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคิวรถจะอยู่ในสถานีขนส่งและบริเวณโดยรอบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น